สวัสดีทุกท่านครับ กลับมาต่อกับเรื่องราวของความไม่เข้าใจระหว่างหมอกับคนไข้กันนะครับ ซึ่งหลายท่านอาจจะคิดว่า จะมีไปจนถึงกี่ภาคกัน เริ่มเบื่อแล้ว ฮะฮะ ที่คิดไว้ก็แค่ประมาณ 20 กว่าภาคนะครับ กะว่าให้เท่า เจมส์ บอนด์ 007 พอดี (เฮ้ย !!)
ว่าไปนั่น จริงๆก็ไม่กี่ภาคหรอกครับ เพียงแต่คิดออกเท่าไรก็เขียนเท่านั้น แต่บังเอิญเรื่องราวมันเยอะมากมายก่ายกอง ก็พอๆกับคดีฟ้องร้อง ร้องเรียนหมอปัจจุบัน ที่งอกขึ้นมาเป็นดอกเห็ดนั่นแหละครับ
สำหรับท่านที่เบื่อหน่าย และรู้สึกว่าไม่เห็นจะสนุกเลย ก็ต้องขออภัยด้วย เพราะอย่างที่บอกไปแล้วว่า กระทู้ที่ผมมาเขียนใน เว็บบอร์ด (www.pantip.com) แห่งนี้จุดประสงค์เพื่อให้หมอกับคนไข้เข้าใจกันมากขึ้น เพราะผมเชื่อว่าบางสิ่งบางอย่างถ้าคนไข้รู้ คนไข้เข้าใจ ก็จะไม่เกิดการฟ้องร้องขึ้นมา คนไข้เองก็จะได้เข้าใจหมอ ส่วนหมอเองก็เข้าใจคนไข้มากขึ้น การรักษาก็จะได้ดำเนินไปได้อย่างสะดวก และได้ (เจษฎาภรณ์) ผลดี (ป้าดด มุข...-_-‘)
มาถึง ภาคนี้ก็คงจะต่อยอดมาจากภาคสามนั่นแหละครับ ภาคสามเราคุยกันถึงเรื่องว่าไม่มีอะไร 100 % ทางการแพทย์ ทุกสิ่งทุกอย่างมีการผิดพลาดเกิดขึ้นได้ แล้วเรามาต่อยอดกับเรื่องต่อไปกันเลยแล้วกัน
หัตถการทางการแพทย์ทุกอย่างมีความเสี่ยง
ก่อนอื่นท่านผู้อ่านรู้จักหัตถการทางการแพทย์ไหมครับ??? งั้น เฉลยเลยแล้วกัน (บร๊ะ!! เร็วจริง)
ผมขออธิบายอย่างง่ายๆไม่อิงวิชาการแล้วกันนะครับ หัตถการทางการแพทย์ ก็คือ การตรวจ การวินิจฉัย หรือการรักษาอะไรก็ตามแต่ที่ต้องมีการกระทำไปที่ตัวคนไข้ (อธิบายอย่างนี้ยิ่งงงนะคะคุณหมอ) เอาเป็นว่าเช่น ผ่าตัดทั้งหลาย เจาะเลือด เจาะไขกระดูก สวนปัสสาวะเจาะถุงน้ำเร่งคลอด ตรวจภายใน ประมาณๆนี้นะครับ
ซึ่งอย่างที่หัวข้อกล่าวไว้ครับว่า “หัตถการทางการแพทย์ทุกอย่างมีความเสี่ยงและมีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน” ซึ่งหลายท่านอ่านแล้วก็จะรู้สึกว่า เอาอีกละ ไอ้หมอขุนทองนี่ มาขู่ ใจ๋ อีกละ เขียนให้ใจเสียอีกละ
ใจเย็นๆก่อนครับ อย่างที่เรียนว่าจะอ่านกระทู้ทั้งทีควรอ่านให้จบก่อนนะจ๊ะ
“หัตถการทางการแพทย์ทุกอย่างมีความเสี่ยง” ความเสี่ยงในที่นี้คืออะไร ความเสี่ยงในที่นี้ก็คือความเสี่ยงครับ (เจ็บมือมาก...) ความเสี่ยงก็คือโอกาสครับ โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์ทั้งหลายที่เราไม่คิดไม่ฝันแต่ดันเกิดขึ้น โอกาสที่จะเกิดผลที่ไม่พึงประสงค์ หรือผลข้างเคียงต่อคนไข้ที่ตามมาได้ในผู้ป่วยที่ได้รับการทำหัตถการนั้นๆ
ซึ่งบางอย่างก็เป็นสิ่งที่เหนือการคาดการณ์ คือไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ หาสาเหตุไม่ได้ โอกาสน้อยมากแต่ก็เกิดได้
หรือบางอย่างก็คาดการณ์ว่ามีโอกาสจะเกิดขึ้น แต่ถึงจะพยายามป้องกัน หลีกเลี่ยง แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้
ค่อนข้างอธิบายงงๆ แบบนามธรรมใช่ไหมครับ ไปดูตัวอย่างเลยง่ายกว่า...
ซึ่งบางอย่างก็เป็นสิ่งที่เหนือการคาดการณ์ คือไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ หาสาเหตุไม่ได้ โอกาสน้อยมากแต่ก็เกิดได้
หรือบางอย่างก็คาดการณ์ว่ามีโอกาสจะเกิดขึ้น แต่ถึงจะพยายามป้องกัน หลีกเลี่ยง แต่ก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้
ค่อนข้างอธิบายงงๆ แบบนามธรรมใช่ไหมครับ ไปดูตัวอย่างเลยง่ายกว่า...
เช่น การผ่าตัดไส้ติ่งอักเสบ มีความเสี่ยงอะไรบ้าง เช่น ความเสี่ยงจากการใช้ยาบล็อกหลัง การดมยาสลบ (อาจมีแพ้ยา มีปวดหลังตามมา ชาบริเวณหลัง เสียงแหบจากการใส่ท่อช่วยหายใจ) การผ่าตัด (โอกาสโดนเส้นเลือด เส้นประสาท ขณะการผ่าตัดในคนไข้ที่ผ่าตัดยากมากๆ) แผลอักเสบ ติดเชื้อ แผลซึม (แม้จะทำแผลทุกวัน) อาการปวดแผลแบบเรื้อรัง ฯลฯ
การเจาะน้ำในช่องปอดระบายน้ำ ในคนไข้มะเร็งปอดระยะสุดท้าย ความเสี่ยงก็อาจจะ เจาะโดนก้อนมะเร็ง เกิดภาวะลมในช่องปอด แพ้ยาชา หรือ แผลติดเชื้อตามมาได้
การเจาะเลือดหรือให้นำเกลือก็อาจจะมีผลแทรกซ้อน การติดเชื้อตามมาได้ เป็นต้น
ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลนี้ความเสี่ยงก็จะหมายถึง “โอกาสที่อาจจะเกิดผลแทรกซ้อนตามมาได้” หมายความว่า “เป็นแค่โอกาสที่อาจจะเกิดผลแทรกซ้อนขึ้นได้(อาจจะไม่เกิดก็ได้) และผลแทรกซ้อนนี้ก็ไม่ได้เกิดกับคนไข้ทุกคนที่ได้รับการทำหัตถการนั้น” เพราะฉะนั้นหมายความว่า “หัตถการทางการแพทย์ทุกอย่างมีความเสี่ยงหรือโอกาสที่จะเกิดข้อเสีย หรือผลแทรกซ้อนต่อคนไข้ตามมาได้ แต่ไม่ใช่กับคนไข้ทุกคนที่ได้รับการทำหัตถการนั้น” ย้ำซ้ำนะคะนักเรียนเอ้าท่อง “หัตถการทางการแพทย์ทุกอย่างมีความเสี่ยงหรือโอกาสที่จะเกิดข้อเสีย หรือผลแทรกซ้อนต่อคนไข้ตามมาได้ แต่ไม่ใช่กับคนไข้ทุกคนที่ได้รับการทำหัตถการนั้น” (copy paste อย่างมันส์) ดังคำกล่าวที่ว่า ไม่มีอะไร 100 % ทางการแพทย์
ซึ่งโอกาสนี้อาจจะมากหรือน้อย ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย ทั้งตัวคนไข้ (อายุ สุขภาพ โรคประจำตัว) หมอ วิธีการรักษา ความยากง่ายของการทำหัตการนั้นๆ และความพร้อมในการทำหัตถการนั้นๆของทีมที่รักษา
เช่นคนไข้อายุ 24 ปี แข็งแรงดี มาผ่าฝีเล็กๆ ที่ต้นแขน อันนี้ก็ความเสี่ยงน้อยนิดละครับ โอกาสเกิดผลแทรกซ้อนเกิดได้แต่โอกาสจะน้อยหน่อย ถ้าเปรียบเทียบกับคนไข้อายุ 88 ปีโรคประจำตัวเพียบ จะมาผ่าตัดกระดูกสันหลัง อันนี้ก็ความเสี่ยงเยอะหน่อยละครับ อายุก็มาก โรคประจำตัวก็มาก การผ่าตัดก็ใหญ่ เป็นต้น
อ่านมาถึงขั้นนี้อย่าเพิ่งตกใจไปหน้านะครับ ความเสี่ยงที่ว่านี้ ในปัจจุบันที่การแพทย์เราพัฒนาไปมาก โอกาสความเสี่ยงดังกล่าวในบางหัตถการก็มีน้อยมากครับ ประมาณว่าผลแทรกซ้อนน้อยกว่า 0.001 %(บรู๊ยยย ว่างั้น) ปลอดภัยมากกกกกกก มากสุดๆ แต่บางหัตถการความเสี่ยงก็ยังมากอยู่ซึ่งขึ้นอยู่กับปัจจัยหลายอย่างต้องดูเป็นรายๆไปอย่างที่ยกตัวอย่างไว้ข้างบน
ซึ่งต้องเรียนอย่างนี้นะครับว่าต้องแยกระหว่างความเสี่ยงที่เกิดขึ้นออกจากข้อผิดพลาดในการรักษาก่อน ถ้าข้อผิดพลาดในการรักษานั้นเกิดจากความผิดพลาดของตัวบุคคล อุปกรณ์ สิ่งแวดล้อมหรืออะไรก็ตามแต่อันนั้นถือว่าเป็นความเสี่ยงอย่างหนึ่งเหมือนกัน แต่ต้องมาพิจารณากันทีหลัง
เพราะก็มีเหมือนกันที่ความเสี่ยงไม่ได้เกิดจากข้อผิดพลาดในการรักษา หมายถึงว่า รักษาดีแล้ว ถูกต้องแล้ว รอบคอบแล้ว แต่ความเสี่ยงหรือผลแทรกซ้อนก็ยังเกิดขึ้นได้ เพราะฉะนั้นการหลีกเลี่ยง ป้องกันก็ทำได้ลำบาก (เพราะรักษาดีแล้ว ถูกต้องแล้ว รอบคอบแล้ว) และบางครั้งการหาสาเหตุของความเสี่ยงนั้นก็เป็นเรื่องที่ยากลำบากมาก
ประหนึ่งว่ามีสามีภรรยาคู่หนึ่ง สามี หล่อ รวย ล่ำมาก ภรรยา จึงคาดการณ์ว่า สามีอาจจะมีกิ๊กซุกได้ จึงพยายามป้องกันทุกวิถีทาง เอาใจสามีทุกอย่าง แต่งตัวสวย วางตัวดี rate 18+ ก็ไม่ธรรมดา แต่ในขณะเดียวกันก็ติดตามสามีตลอด ชนิดที่ว่าไม่น่าจะยุ่งกับหญิงอื่นได้ แต่ถ้าถามว่าโอกาสที่สามีจะมีกิ๊ก เป็นไปได้ไหม คำตอบคือ “ได้” และถ้าสามีเกิดมีกิ๊กจริงๆ บางครั้งภรรยาเองก็หาคำตอบไม่ได้ว่าทำไม ฉันสวยแล้วหนิ ดีแล้วหนิ เอาใจแล้วหนิ ทำดีที่สุดแล้วหนิ จะโทษภรรยารึเปล่าว่าไม่ดี ก็คงโทษไม่ได้ เพราะภรรยาเองก็ทำดีที่สุดแล้วจริงมะ? และสุดท้ายความเสี่ยงที่สามีจะมีกิ๊ก ก็ยังเกิดขึ้นได้ (ตัวอย่างอะไรเนี่ย !!!)
ในกรณีนี้ สามี เปรียบหัตถการ
กิ๊ก เปรียบความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้น
สามี หล่อ รวย ล่ำมาก เปรียบหัตถการยากความเสี่ยงมาก
ภรรยา เปรียบหมอ
ภรรยาเอาใจสามี เปรียบ หมอทำหัตถการดีที่สุด พยายามป้องกันเหตุที่อาจจะเกิดขึ้นได้
สุดท้ายสามีก็มีกิ๊ก เปรียบสุดท้ายความเสี่ยงจากหัตถการก็เกิดขึ้นได้อยู่ดี
ดังนั้นถ้าจะโทษจริงๆก็ต้องโทษที่ตัวสามี เปรียบเป็นตัวหัตถการนั้นๆที่ อาจจะเป็นหัตถการที่ยาก หรือตัวหัตถการเองมีความเสี่ยงมาก โอกาสผิดพลาดได้ง่าย แม้ทำดีที่สุดแต่ความเสี่ยงก็ยังคงเกิดขึ้นได้
ซึ่งโดยส่วนใหญ่ ก่อนที่แพทย์จะทำการรักษาด้วยหัตถการอะไรก็ตามแต่ ก็มักจะบอกผู้ป่วย และขออนุญาตผู้ป่วยอยู่แล้วครับ และกรณีที่เป็นหัตถการใหญ่ มักจะมีเอกสารมาให้ลงนามยอมรับความเสี่ยงร่วมด้วยอยู่แล้วครับ (เพราะฉะนั้นเวลาจะลงนามอะไรรบกวนอ่านและยอมรับนิดหนึ่งก่อนนะครับ หากมีข้อสงสัยรบกวนถามแพทย์ก่อน อย่ามาพูดมาบอกทีหลังว่า “ไม่รู้หมอบอกให้เซ็น ก็เซ็น” มันดูไม่ค่อยเหมาะเท่าไร)
เพราะฉะนั้น ย้ำอีกครั้งนะครับ ว่า ผลแทรกซ้อนจากการทำหัตถการทางการแพทย์ แม้ว่าจะรักษาถูกต้องที่สุด ดีที่สุด ระวังที่สุด รอบคอบที่สุด ความเสี่ยงและผลแทรกซ้อนเหล่านี้ก็ยังมีโอกาสเกิดขึ้นได้ เพียงแต่โอกาสอาจจะน้อย(แต่ก็ยังคงเกิดขึ้นได้) และ ผลแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นนั้นก็ไม่ได้เกิดกับคนไข้ทุกคนที่ได้รับการทำหัตถการนั้นๆ โดยโอกาสหรือความเสี่ยงที่จะเกิดผลแทรกซ้อนขึ้นในคนไข้แต่ละคนจะมากน้อยต่างกัน ขึ้นกับหลายปัจจัย”
ทีนี้หลายท่านคงอาจจะสงสัยว่า อ้าวอย่างนี้ก็เหมือนหนีเสือปะจระเข้นะสิ เป็นโรคมา มารักษา ยังต้องมายอมรับความเสี่ยงอะไรนี่อีกเหรอ
ต้องเรียนอย่างนี้ครับว่า หมอเองก่อนจะรักษาอะไรโดยเฉพาะที่เป็นหัตถการที่ความเสี่ยงมากๆ ก็จะมีการชั่งข้อดีข้อเสียก่อนแล้วว่า ถ้าทำ โอกาสดีมากกว่า หรือ โอกาสแย่มากกว่า จำเป็นต้องทำหรือไม่ ไม่ทำได้หรือไม่ ถ้าเชื่อว่าโอกาสทำแล้วดีมากกว่าก็จะทำให้คนไข้ แต่ถ้าคิดว่าทำแล้วไม่ดี โอกาสแย่มากกว่าก็จะต้องพูดคุยกับคนไข้ให้เข้าใจ และสุดท้ายแล้วถ้าตัดสินใจจะทำก็จะต้องมีการพูดคุยกับคนไข้ก่อนอยู่แล้วครับว่า คนไข้เห็นควรด้วยหรือไม่ ถ้าเกิดผลข้างเคียงกับคนไข้แบบนี้คนไข้จะรับได้หรือไม่
ขอยกตัวอย่างเหตุการณ์สมมติแล้วกันนะครับ
ผู้ป่วยชาย อายุ 23 ปี โดนเหล็กเสียบ บริเวณกลางท้องเหล็กยาว 1 เมตร ชนิดที่ว่าปักคาท้องอยู่เลย ต้องเข้ารับการผ่าตัดแพทย์จึงตัดสินใจผ่าตัดด่วน !!
กรณีนี้ถามว่าหัตถการการผ่าตัดนี้ต้องทำหรือไม่ คำตอบคือ ต้องทำ (จะให้มีเหล็กปักคาพุงไปตลอดชีวิตรึไง) แต่ก็ต้องมีการแนะนำผู้ป่วยและญาติก่อนว่าการผ่าตัดนี้เป็นการผ่าตัดที่ไปนำเหล็กออก และต้องดูอวัยวะภายในด้วยว่าบอบช้ำแค่ไหน ความเสี่ยงในการเสียชีวิตแม้ผ่าตัดแล้วก็มี เช่น เหล็กอาจจะโดนเส้นเลือดแดงใหญ่ โดนลำไส้ โดนอวัยวะภายใน อาจจะเสียเลือดมาก อวัยวะบางอย่างหากบอบช้ำมากอาจต้องมีการตัดออกบางส่วน อวัยวะบางอย่างอาจทำงานได้ไม่เต็มที่เท่าเดิม หรืออาจจะออกมาจากห้องผ่าตัดแล้ว ต้องนอนโรงพยาบาลนานอาจมีภาวะอื่นเช่น ปอดติดเชื้อ ติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ มีโอกาสเสียชีวิตตามมาได้ ฯลฯ
ซึ่งญาติและคนไข้ก็ต้องเข้าใจว่าหัตถการนั้นๆยากและความเสี่ยงสูง แต่ก็เป็นหัตถการที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ดังนั้นก็คงต้องยอมรับความเสี่ยงและ “เข้าใจ” ในสถานการณ์นั้นๆ ด้วย
หลังจากผ่าตัด ปรากฏว่าคนไข้มีแผลติดเชื้อ และ ปอดติดเชื้อร่วมด้วย ต้องรักษากันนานกว่าเดิม(แต่ก็หายดี) แต่ญาติก็เข้าใจเพราะแพทย์ผู้รักษาได้อธิบายไปเรียบร้อยแล้ว
แต่ก็มีบางครั้งเหมือนกันที่ ญาติไม่เข้าใจจนนำไปสู่การ เกือบจะฟ้องร้อง
คนไข้อายุ 65 ปี มาด้วยเรื่อง เข่าเสื่อมมา รักษามานานจนถึงขั้นที่ต้องผ่าตัดแล้ว ซึ่งหมอเองก็ได้อธิบายให้คนไข้ และญาติเข้าใจ ถึงผลดีผลเสีย ผลข้างเคียงที่อาจจะเกิดขึ้น รวมไปถึงการติดเชื้อที่อาจจะมีตามมาได้ด้วย ซึ่งในตอนแรกคนไข้และญาติก็เข้าใจดีแล้ว
หลังการผ่าตัด ปรากฏว่าคนไข้มีติดเชื้อในข้อเข่าที่ผ่าไปแล้ว จึงต้องมีการผ่าซ้ำเพื่อระบายหนอง หลังจากนั้นคนไข้ก็มีปัญหาติดเชื้อในทางเดินปัสสาวะ ติดเชื้อในกระแสเลือดตามมา ต้องรักษากันนานกว่าเดิม(แต่ก็หายดีในเวลาต่อมา) ญาติๆก็เริ่มไม่พอใจ และเริ่มคิดเรื่องการฟ้องร้อง หมอก็พยายามชี้แจง และอ้างอิงว่า คนไข้และญาติเองก็เข้าใจแล้ว และยังลงนามในเอกสารยินยอมการผ่าตัดแล้วด้วย แต่สุดท้ายญาติและคนไข้กลับบอกว่า “ไม่รู้หมอบอกให้เซ็น ก็เซ็น”
สุดท้ายแล้วเรื่องนี้จบด้วยว่า ญาติไม่เอาเรื่อง แต่ก็ไม่พอใจและขอเปลี่ยนหมอเจ้าของไข้ทันที ซึ่งเมื่อมีการมาตรวจสอบทีหลังก็ยังไม่พบสาเหตุว่าทำไมเข่าถึงติดเชื้อ เพราะการผ่าตัดทั้งหมดของหมอ ก็สมบูรณ์ดี
หรือบางกรณีที่หมอเห็นว่าไม่ควรทำก็จะแนะนำไปครับ เช่นคนไข้ อายุ 72 ปี เป็น โรคถุงลมโป่งพอง เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ลิ้นหัวใจรั่ว และเส้นเลือดหัวใจตีบ มีปัญหาเรื่องกระดูกสันหลังเสื่อม และมีหมอนรองกระดูกสันหลังทับเส้นประสาท ชาขาเล็กน้อย พอเดินได้ แต่มีอาการปวดแล้วไม่อยากกินยา อยากผ่าตัดเลย ซึ่งเมื่อหมอประเมินแล้ว อายุมาก โรคประจำตัวมาก ผ่าตัดใหญ่ ผ่าตัดไปผลที่ได้ออกมาก็อาจจะไม่แตกต่างจากเดิมมากนัก หมอก็จะแนะนำว่าไม่ต้องผ่าตัด เพราะความเสี่ยงมันเยอะมากไม่คุ้มกับผลลัพธ์ที่ได้
เห็นไหมครับว่า หัตถการทางการแพทย์ทุกอย่างมีความเสี่ยง และอาจจะมีผลแทรกซ้อนขึ้นได้ แต่ความเสี่ยงนั้นจะมากบ้างน้อยบ้าง ก็ขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัย
บางครั้งแม้การรักษา จะดี สมบูรณ์ ถูกต้อง ระมัดระวังแล้ว แต่ความเสี่ยง ผลข้างเคียง และภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ ก็อาจจะเกิดขึ้นมาได้
ดังนั้นก่อนจะทำอะไรหมอจะคิดถึงข้อดีข้อเสีย ชั่งน้ำหนัก(ว่าอ้วนขึ้นรึเปล่า ...ไม่เกี่ยว) ว่าควรทำหรือไม่ และจะมีการคุยกับคนไข้อยู่แล้วครับว่าควรทำหรือไม่ ผลดีผลเสียเป็นอย่างไร ส่วนคนไข้เองก็ต้องมีส่วนในการตัดสินใจชีวิตตัวเองด้วย
หากเกิดผลข้างเคียงและภาวะแทรกซ้อนขึ้นจริงก็ต้องเข้าใจ และดูข้อมูลด้วยว่าเกิดจากอะไร ดูเป็นกรณีๆ เพราะบางครั้ง มันไม่ได้เกิดจาก “ความผิดพลาด หรือ ความสะเพร่า” แต่มันเป็นความเสี่ยงที่เกิดขึ้นได้อยู่แล้ว และไม่มีใครอยากให้มันเกิดนะจ๊ะ
หากจะเอาชนิดที่ว่าไม่เสี่ยงแน่ๆ ก็มีอย่างเดียว คือ “ไม่ทำ” เลยครับ แต่ก็ต้องดูด้วยนะว่าถ้าไม่ทำแล้ว ไม่เสี่ยงแล้ว จะดีต่อคนไข้จริงหรือเปล่า
เรื่องนี้ถือได้ว่าเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากครับ นำมาเล่าให้ฟังไม่ได้ต้องการจะมาขู่หรือบอกว่าให้ทำหรือไม่ให้ทำ แต่แค่อยากจะมาเล่าว่าความเสี่ยงในการทำหัตถการมันมีได้ มันเกิดขึ้นได้ และอยากให้เข้าใจว่าบางครั้งการป้องกัน ระมัดระวังมันทำให้ความเสี่ยงลดลงแต่ไม่ได้แปลว่ามันจะหายไปเลย
เพราะฉะนั้นอยากให้เข้าใจและยอมรับความเสี่ยงที่อาจจะเกิดขึ้นได้จากการทำหัตถการต่างๆร่วมกันทั้งหมอและคนไข้ จะได้เข้าใจกันทั้ง 2 ฝ่าย อยากให้พูดคุยกันให้เข้าใจกัน ยอมรับกัน ตัดสินใจร่วมกันมากกว่าไปตัดสินกันในศาลนะครับ
เรียนตอบผู้ที่หลังไมค์หรือเมล์มาถาม
ปล. 1. เรื่องไม่สมัคร login ที่ให้กิฟท์ได้ผมเคยชี้แจงไปแล้วนะครับว่าถนัดแบบ mobile register มากกว่า แต่ต้องขอบคุณมา ณ ที่นี้ ที่อยากให้กิฟท์ (ซึ่งเรียนตามตรงว่าผมเองไม่รู้ว่าได้แล้วเอาไปทำอะไรนะครับ แหะๆ)
2. เรื่อง blog กับ facebook ผมกำลังจะพยายามทำถ้าเวลาเอื้ออำนวยนะครับ(เสร็จแล้วนี่ไง แหะแหะ)
3. สำหรับท่านที่สงสัย ผมไม่เคยเขียนลงนิตยสารหรือไม่เคยเขียนหนังสือขายที่ไหนนะครับ และต้องขอบคุณสำหรับผู้ที่อยากให้เขียนเป็นหนังสือ
4. ผมไม่รับวินิจฉัยโรคทางอินเทอร์เน็ตทุกกรณีนะครับ รบกวนไปหาหมอใกล้บ้านท่านดีกว่าครับ การวินิจฉัยและรักษาโรคต้องเห็นคนไข้ด้วย
ครั้งหน้ามาต่อกันครับ...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น