กลับมาคราวนี้ เพราะหัวใจมันขอมา ให้ตามหา ความทรงจำ......(ทันไหม ถ้าทัน คุณสูงวัยขึ้นนะครับ จ๊าก!!)
สวัสดีทุกท่านครับ กลับมาอีกครั้ง ตามคำเรียกร้อง(ของตัวเองเห็นๆ) ขออภัยกับการหายไปนานครับ ติดภารกิจบางประการจึงทำให้ห่างหายจากการเขียนไปนาน จนภาคสี่ของเรื่องนี้ไม่รู้หายไปไหนแหล่ว
กลับมาต่อกันถึงเรื่องความไม่เข้าใจระหว่างหมอกับคนไข้ที่ทำให้ก่อเกิดเรื่อง การฟ้องร้อง ร้องเรียน บลาๆอีกมากมายตามมานะครับ (ลืมเค้ากันหมดแล้วดิ)
ภาคที่ 1-4 คง ต้องไปเสาะหาเอาตาม google ก่อนละนะครับ แต่ผมขออนุญาตสรุปรวบยอดเผื่อผู้ที่เข้ามาเห็นเรื่องนี้เป็นครั้งแรกจะได้พอได้แนวคิด
สำหรับเรื่อง “เพราะเราไม่เข้าใจกัน” นี้เป็นเรื่องที่ผมเองเขียนขึ้นมาเพื่อรวบรวมบางสาเหตุหรือบางเหตุผลที่คนไข้และหมอไม่เข้าใจกันแล้วมีผลต่อการรักษา มีการร้องเรียน ฟ้องร้อง ซึ่งจริงๆแล้วหากหมอและคนไข้มีความเข้าใจอันดีต่อกัน ประเด็นฟ้องร้อง(ซึ่งเจ็บปวดทั้ง 2 ฝ่าย) ก็อาจจะไม่เกิดขึ้น (อาจจะนะ) ผมจึงลองเขียนและอธิบายในมุมมองของหมอคนหนึ่งซึ่งมีโอกาสได้ประสบเหตุการณ์มาเอง ได้พูดคุยกับคนไข้ และได้รับฟังบางเหตุการณ์มาจากเพื่อนแพทย์บ้าง
บางเหตุการณ์สาเหตุก็มาจากหมอ บางครั้งก็มาจากคนไข้ญาติๆ(และชาวคณะ) และบางครั้ง ก็ไม่ได้มีใครเป็นต้นเรื่อง ไม่ได้มีใครผิดเลย หมอไม่ได้รักษาผิด คนไข้ไม่ได้โวยวาย แค่เกิดความไม่เข้าใจ หรือเข้าใจผิดซึ่งกันและกันนั่นเอง
ในส่วนประเด็นของหมอ คนไข้ และการสื่อสาร ผมได้กล่าวไปแล้วในภาค 1-4 (เยอะยังกะ หนังพ่อมด) ภาค 5 นี้ผมจะขอนำเสนออีกสาเหตุหนึ่งที่ทำให้บางครั้งเกิดความเข้าใจผิดกันมากขึ้นระหว่างหมอและคนไข้
สื่อ, เทคโนโลยี, การเมาส์มอย และข่าวลือ
ในปัจจุบันนี้ สื่อและเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทอย่างยิ่งยวดในชีวิตเรา ทำให้โลกเราแคบลงอย่างชัดเจน การเดินทางสะดวกขึ้น การสื่อสารรวดเร็วฉับไว ข่าวข้อมูลจากซีกโลก สามารถไปโผล่อีกซีกโลกได้อย่างรวดเร็วปรู๊ดปร๊าด (ถ้าเน็ตไม่ค้าง และจ่ายตังค์ครบ)
ซึ่งแน่นอนครับเป็นเรื่องที่ดี เพราะความรู้ใหม่ๆในวงการแพทย์ ข่าวคราวต่างๆด้านสุขภาพ การแจ้งโรคระบาด โรคภัยไข้เจ็บใหม่ๆ การให้ความรู้ด้านการแพทย์ ก็จะรวดเร็วฉับไว รักษาทัน ป้องกันดี ชีวีก็เป็นสุข (มาเป็นคำขวัญทีเดียว)
แต่แน่นอนครับในทุกอย่างมีข้อดีก็ย่อมต้องมีข้อเสีย หลายๆครั้งที่สื่อหรือเทคโนโลยีก่อให้เกิดความไม่เข้าใจกันได้
เกิดได้ยังไงกัน !!! (จะบิ้วด์อารมณ์ทำไม) เพราะสื่อมันเร็วนี่ละครับ บางที “เร็วเกิน” จนคนที่บริโภคสื่อเข้าไปอาจขาดการไตร่ตรองหรือดูให้ดีก่อนว่า สื่อที่ตัวเองบริโภคเข้าไปนั้น “ถูกหรือผิด”
1. มาจากแหล่งที่ถูกต้อง เชื่อถือได้
2. ข้อมูลที่นำมาทั้งหมดเป็นความจริงไม่ได้ผ่านความรู้สึกหรือเรื่องเล่า มาอีกที
3. มีข้อมูล “ครบ” ไม่ถูกทำให้สาบสูญ หรือคัดมาเฉพาะส่วนที่เร้าใจคนทั่วไปมากกว่า
ซึ่งบางครั้งความเข้าใจผิดก็เกิดจากสื่อที่เอาข้อมูลมา เอาข้อมูลไม่ครบบ้าง ข้อมูลผิดไปจากความเป็นจริงบ้าง เอามาผิดเวลาบ้าง ผิดพลาดทางระบบนำเสนอทำให้เกิดความเข้าใจผิดบ้าง
แต่บางครั้งสื่อก็เอาข้อมูลมาถูกหมดครบถ้วน แต่คนที่เสพเข้าไปต่างหากที่เสพไปผิด ตีข้อมูลไม่แตก เข้าใจไปผิดเอง แล้วไปเผยแพร่ต่อแบบผิดๆอีกต่างหาก
แต่บางครั้งสื่อก็เอาข้อมูลมาถูกหมดครบถ้วน แต่คนที่เสพเข้าไปต่างหากที่เสพไปผิด ตีข้อมูลไม่แตก เข้าใจไปผิดเอง แล้วไปเผยแพร่ต่อแบบผิดๆอีกต่างหาก
หากท่านเคยดูรายการ game zone (สมัยวิลลี่ยังหนุ่มแน่นเปรี๊ยะๆ) ทันเปล่า 55 จะมีเกมส์หนึ่งที่ให้ใบ้คำโดยคนแรกดูคำใบ้จากนั้นก็ใบ้ส่งต่อคนต่อไป ส่งคนต่อไปเรื่อยๆเป็นทอดๆประมาณ 4-5 คน จนคนสุดท้ายต้องทายว่าคำใบ้คืออะไร เป็นตัวอย่างที่ดีเลยครับ คำที่คนแรกเห็นคือ ไดโนเสาร์ คนสุดท้ายทายว่า มอเตอร์ไซค์ (ใกล้กันมาก) ซึ่งก็เป็นตัวอย่างที่ดีเลยว่าบางครั้งการส่งข้อมูลมาเป็นทอดๆ เล่ากันไป เล่ากันมา ปากต่อปาก ก็ไม่ได้ถูกเสมอไป
ผมขออนุญาตยกตัวอย่างเหตุการณ์ซึ่งผมเชื่อว่าหลายๆท่านน่าจะเคยผ่านๆตามาบ้างก็แล้วกันครับ (เอ่อ.....เอาเป็นว่าผมสมมติดีกว่า เดี๋ยวไปพาดพิงใครเข้าจะซวย เป็นเหตุการณ์สมมติล้วนๆละกันนะครับ)
มีคนไข้ชายคนหนึ่ง อายุ 16 ปี ไปหาหมอด้วยประวัติ เหล่สาวช่วงสงกรานต์แล้ว เดินตกท่อ ขาซ้ายหัก...
หลังจากไปหาหมอแล้วหมอจึงพิจารณาให้ใส่เฝือก....
เนื่องจากหนุ่มคนนี้เล่น facebook จึงเอารูปตัวเองใส่เฝือก พร้อมทั้งเอกซเรย์ ขึ้น facebook
ทันใดนั้น แฟนของหนุ่มคนนี้ผู้หวังดีจึง comment เข้ามาถามว่า
ทันใดนั้น แฟนของหนุ่มคนนี้ผู้หวังดีจึง comment เข้ามาถามว่า
“ตะเอง ตะเองกาดูก หักไม่ต้องผ่าตัดหรอออ เค้าเคยด้ายยย ยินมาว่ากระดูกขาหักมานน ต้องผ่าตัดนะงับ ไม่งั้นกระดูกจาไม่ติด นะ อิอิ ครุคริ งุงิ งืมๆ”
ก่อนแม่ของเด็กผู้หญิงคนนี้จะตบกระโหลกทีแล้วบอกว่า “ใช้ภาษาไทยให้ถูกต้องนะคะคุณลูก”
“เธอ เธอ กระดูกหักไม่ต้องผ่าตัดเหรอ ดิฉันเคยได้ยินมาว่ากระดูกขาหักมันต้องผ่าตัดนะคะ ไม่งั้นกระดูกจะไม่ติดค่ะ”
เด็กผู้ชายคนนี้ก็เลยกลัวครับ จึงเอารูป และเอกซเรย์ขึ้นไปถามในกระทู้ตามเว็บบอร์ดต่างๆ โดยเป็นกระทู้ถามว่า “แบบนี้หนูจะท้องไหม” เฮ้ยไม่ใช่ๆ "หมอรักษาผมผิดหรือเปล่าครับ"
ซึ่งเมื่อกระทู้นี้ขึ้นไปมีคำสำคัญ “หมอ” “รักษาผิด” เหล่าผู้ที่อ่านกระทู้แตกบ้างไม่แตกบ้างทั้งหลายก็เข้าไปกระหน่ำตอบ ได้คำตอบมามากมาย ทั้งต้องผ่า ทั้งไม่ผ่า ความเห็นหลายความเห็นก็อ้างว่าเป็นหมอ, มีคนรู้จักเป็นหมอ, ทำงานด้านสาธารณสุข เห็นควรน่าจะต้องผ่า บางความเห็นก็บอกว่าหมอโรงพยาบาลนี้ชื่อเสียงไม่ค่อยดีนะครับผมว่าต้องรักษาผิดแน่ๆ ปูเสื่อรอ ต้มน้ำรอ บางความเห็นก็ว่า ปรึกษาแพทย์ท่านอื่น เปลี่ยนโรงพยาบาล เชื่อหมอคนเดิมดีกว่า ยืนยันหมอรักษาถูกแล้ว หมอปกป้องพวกเดียวกัน !@#$%^&*()_+ ฯลฯ (กระทู้นี้ก็เสพดราม่ากันจนอิ่มเอมเปรมใจ)
สุดท้ายคนไข้กลับไปหาหมอคนเดิมเพื่อปรึกษา ซึ่งหมอก็ตอบว่า “ใส่เฝือกถูกแล้วครับ” คนไข้ก็ยังไม่แน่ใจต้องไปหาหมออีก 2-3 ที่เพื่อยืนยันว่า หมอคนแรกรักษาถูกหรือไม่ ซึ่งก็ได้คำตอบว่า “ถูกแล้ว”
ท่านผู้อ่านเห็นอะไรไหมครับ กรณีนี้เป็นกรณีเล็กๆสุดท้ายก็ไม่ได้มีการฟ้องร้อง ไม่มีปัญหาอะไรตามมา (จริงๆคนไข้ก็เสียความรู้สึก และต้องเสียเวลา เสียตังค์ไปพบหมออีก 2-3 ที่นะครับ) แต่สิ่งที่ผมต้องการจะสื่อคือ ความไม่เข้าใจกัน ไม่เชื่อใจกัน ระหว่างหมอกับคนไข้ ได้เกิดขึ้นมาแล้ว
กรณีนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่มากครับ คนไข้แก้ปัญหาด้วยการไปปรึกษาหมออีก 2-3 ที่ เพื่อยืนยัน (ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ท่านทำได้ครับ หากสงสัยในการรักษาของหมอจริงๆ) แต่หากเป็นกรณีที่ใหญ่กว่านี้ ความเสียหายหนักกว่านี้ ผมเชื่อแน่ว่าจะไม่จบแค่ไปปรึกษาหลายๆที่ แต่เริ่มจะมีสิ่งที่อยู่ในใจว่า “หมอรักษาผิดรึเปล่า” "หมอรักษาผิดแน่ๆ" และแน่นอนที่สุด คำว่า “ฟ้องร้อง, ร้องเรียน” ก็จะตามมาอย่างไม่ต้องสงสัย
ซึ่งจริงๆแล้วเรื่องนี้แทบจะไม่มีอะไรเลยหากคนไข้ เข้าใจการรักษา ไม่ไหลไปตามข้อมูลที่ได้มาโดยที่ไม่ได้กลั่นกรองว่าข้อมูลนั้นมาจากคนที่เชื่อถือได้หรือไม่ comment ที่บอกว่าเป็นหมอนะ จริงๆแล้วเป็นหมอรึเปล่า(หลายครั้งไปครับที่ในโลก internet เราจะเป็นอะไรก็ได้) นักเสี้ยมทั้งหลายในเน็ตก็เยอะ ที่จะนำพากระทู้ไปสู่ดราม่าแบบงงๆ(หวังว่าไม่มีในกระทู้ผมนะ)
ทั้งๆที่ไปเจอคนที่รักษาได้ถูกต้อง มีความรู้จริงแล้ว แต่พอโดนกระแสมากๆเข้าก็เขวได้เหมือนกัน ถ้าเกิดคนไข้คนนี้เกิดเชื่อกระแสมากกว่า ไปหาหมอแล้วไปฟ้องร้อง บอกสื่อ up facebook “หมอมั่วรักษาผมผิด” หมอคนนั้นก็อาจจะโดนสังคมพิพากษาไปแล้วว่ารักษาผิด(แบบงงๆ) ทั้งๆที่จริงๆแล้วรักษาถูกแล้ว พอมาแก้ข่าวทีหลังก็ไม่รู้จะมีประโยชน์รึเปล่า
บางครั้งสื่อข้อมูลต่างๆที่มาถึงเรา เราก็ต้องพิจารณาให้ดีก่อนครับ ว่าข้อมูลที่ได้มาถูกต้องหรือไม่ อ่านให้แตกก่อน “หมอรักษาผมผิดรึเปล่าครับ” หมายความว่ามาถามว่าหมอรักษาผิดรึเปล่า ไม่ได้มาบอกว่าหมอรักษาผิด
หรือบางครั้งที่ข่าวมีการฟ้องร้องหมอมาเข้าหูเราว่า หมอรักษามั่ว รักษาผิดแล้วหมอถูกฟ้อง ก็ต้องดูก่อนครับว่า อยู่ในขั้นสอบสวน หรือ ตัดสินไปแล้วว่าผิด เพราะหลายๆครั้ง ข่าวที่บอกว่าหมอรักษาผิด(ประโคมข่าวใหญ่โต รู้ทุกคน) บางคนฟังไม่ดีก็ซัดหมอก่อนเลย หมอชั่ว มั่วนี่หว่า หมอจ๊าดดง่าวววว(ขออภัยหากสะกดผิด) หมอผิดแหงๆ ปรากฏว่ายังอยู่ในขั้นสอบสวน พอสอบสวนออกมาหมอถูกต้องแล้วคนไข้เข้าใจผิด ที่นี้จะแก้ข่าวให้หมอก็ลำบากเหลือเกิน(ข่าวเล็กๆมีคนรู้มั่งไม่รู้มั่ง) เพราะหมอเองก็ถูก “สังคม” ตัดสินไปแล้วว่า “ผิด” หรือพอบอกว่าหมอถูก ก็จะถูกตัดสินไปว่า “หมอปกป้องพวกเดียวกัน”
คนเรามักจะเชื่อสิ่งที่รู้เป็นครั้งแรกก่อนเสมอละครับ อะไรที่ไม่เคยรู้มาก่อน พอได้มารู้มักจะเชื่ออันนั้นไปก่อนเสมอ พอมีความจริงใหม่ๆเข้ามาก็มักจะคิดว่าจริงรึเปล่า มั่วหรือเปล่า(ขัดต่อสิ่งที่รู้อยู่เดิม) ทั้งๆที่บางครั้ง ความจริงที่ตามมาทีหลังเป็นสิ่งที่ถูกต้องมากกว่าตอนแรก (การใส่ความเข้าใจใหม่มักง่ายกว่าการแก้ความเข้าใจเดิม)
เรื่องราวเกี่ยวกับการฟ้องร้องหมอ ร้องเรียนหมอทั้งหลาย หมอผิดจริงมีหรือไม่ ตอบว่า “มี” หมอไม่ผิด มีหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า “มี” เช่นเดียวกัน
เพราะฉะนั้น รบกวนฝากท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่านของผมใช้วิจารณญาณ กันสักนิดก่อนจะ เชื่อ หรือ ไม่เชื่อ อะไร เพราะบางครั้งข้อมูลที่ได้มา ผ่านมาจากหลายที่ หลายแหล่ง ต้องดูหลายๆอย่างก่อนจะเชื่อถืออะไรไปนะครับ เราไม่ได้เห็นเหตุการณ์กับตา ฟังมา รู้มาอีกต่อหนึ่ง ต้องพิจารณาดีๆก่อน เพราะผมไม่อยากให้ท่านผู้อ่านที่น่ารักทุกท่านของผมไปเป็นหนึ่งในกระบวนการเผยแพร่ข้อมูลผิดๆ แถมเนียนตามกระแสมั่วนะเออ เพราะพวกข้อมูลผิดๆเหล่านี้ คนที่ไปเล่าต่อ หรือเผยแพร่ ไม่ได้เป็นผู้ที่ได้รับผลกระทบ แต่คนที่ได้รับผลกระทบเป็นคนอื่นก็น่าเห็นใจเขา
เพราะเราเองก็คงไม่อยากให้มีข่าวลือ การให้ร้าย เกี่ยวกับตัวเราแบบผิดๆเกิดขึ้นหรอกจริงไหมครับ
เพราะฉะนั้นหากจะหาข้อมูลเพิ่มเติมหรือปรึกษาคนอื่นเพิ่ม ก็ควรจะดูด้วยว่าแหล่งข้อมูลที่ได้มาเชื่อถือได้รึเปล่า...และควรใช้วิจารณญาณมากๆนะจ๊ะก่อนที่จะเชื่อข้อมูลอะไรเพื่อประโยชน์ของคนที่เขาได้รับผลกระทบโดยตรง โดยอ้อม รวมถึงตัวท่านผู้อ่านเองด้วย
ทั้งหมดทั้งมวลที่กล่าวมา 5 ภาค เป็นบางส่วนกระจิดริดที่ทำให้หมอและคนไข้ไม่เข้าใจกัน ไม่เชื่อใจกัน ซึ่งมองผ่านความคิดและมุมมองของหมอคนหนึ่ง ซึ่งแน่นอน ทุกท่านก็ต้องใช้วิจารณญาณในการเสพนะครับ(บร๊ะ!! เนียนต่อเลย) ซึ่งผมหวังว่า 5 ภาคที่ผ่านมาคงจะทำให้ท่านผู้อ่านหลายๆท่านเข้าใจหมอมากขึ้น ส่วนหมอเองก็เข้าใจคนไข้มากขึ้น เพื่อที่เราจะได้ “เข้าใจกันมากขึ้น” ซะทีเนาะ
ว่าแต่ท่านผู้อ่านที่อ่านมาเชื่อไหมครับ ว่าผมเป็นหมอ ผมอยากจะบอกว่า เชื่อเถอะครับ ........... ค้าวว เป็งหมอจิงๆน้า (โป๊ก!! โดนตบกระโหลก) ผมเป็นหมอจริงๆครับ ^^
จบมหากาพย์ อีก 1 เรื่องครั้งหน้าหักโหมดเข้าสู่เรื่องเกรียนๆจากมุมมองหมอกันหน่อย “เมื่อหมอขอดราม่า”
ปล.
1 เว็บบล็อก เสร็จแล้วครับ แต่ลง link ไม่ได้ (กระทู้จะสาบสูญได้) เอาเป็นว่า ไปถามหา “หมอใหม่หัวใจแนว” จาก google ละกันนะครับ มีเว็บหนึ่งเจ๊งเว็บหนึ่งไม่เจ๊ง
2. facebook ก็มีแล้วเหมือนกันครับ ไปหา “หมอใหม่หัวใจแนว” ใน facebook ละกันนะครับ ถ้าอยากพบกัน
3.ขอบคุณหลายๆท่านที่แนะนำว่าควรทำเป็น บล็อกหรือ facebook เก็บไว้บ้าง เพราะเสียดายที่อุตส่าห์เขียน ขอบพระคุณจากใจครับ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น