สวัสดีทุกท่านครับ
กลับมาต่อกันกับอีกบทของเรื่องราวของคนที่อยากเป็นหมอกันนะครับ
บางท่านคงมีความรู้สึกว่า
เอ๊ะภาคก่อนเขียนอะไรไว้นะ มันนานมากจนจำไม่ได้แล้ว ฮ่าๆ ไม่แปลกใจครับ
อย่าว่าแต่คุณผู้อ่านทุกท่านเลย ผมก็ลืมไปแล้วว่าเขียนอะไรไว้ (แหง่ว)
ล้อเล่นหน่า
!! จำได้อยู่แล้วครับ
จำได้ว่าเป็นเรื่องราวของการที่ใครสักคน อยากจะเป็นหมอ และเกิดบางคำถามที่อยากจะถามหมอขึ้นมา
เป็นหมอดีไหม ชีวิตเป็นยังไง ทำยังไงถึงจะให้ลูกเรียนหมอได้และทำไมใครๆก็อยากให้ลูกเรียนหมอ (หาของเก่าจาก facebook หมอใหม่หัวใจแนว ละกันนะครับ)
ภาคแรกภาคสองผมอธิบายไว้คร่าวๆเกี่ยวกับเรื่องชีวิต
ส่วนดีไว้บ้างแล้วนะครับ รวมทั้งรายละเอียดบางอย่างในการเรียนหมอไว้
ครั้งนี้จะมาต่อยอดอีกเล็กน้อย ไม่ละเอียดมาก แต่ไม่หยาบจนใช้ไม่ได้นะจ๊ะ (บร๊ะคม)
ถาม : เอ็กซเทิร์น
คือ อะไร อินเทิร์น คืออะไร ใช้ทุนยังไง เรียนต่อยังไง เป็นอาจารย์หมอยังไง เห็นเวลาไปบางโรงพยาบาลมีคุณหมอหลายคนจัง
เดินถามไปถามมา ถามซ้ำๆ คนนั้นถามทีคนนี้ถามที แป๊บๆมีคนมาถามอีกแล้ว หมอที่หนูไปตรวจด้วยเหล่านี้เป็นใครบ้างคะ
... งงค่ะ
ตอบ : เยอะคะ.....คำถามหนูนะเยอะมากค่ะ
(เคยมีคนถามยังงี้จริงๆด้วยนะครับ) เอาเป็นว่าขอตอบแบบรวบยอดนะครับ
ปี 1-3 หรือชั้น พรีคลินิก นั่งเรียนอย่างที่เคยได้บอกไว้แล้ว
ปี 4-6 หรือชั้น คลินิก
ก็คือชั้นที่ต้องเริ่มขึ้นไปดูผู้ป่วยที่หอผู้ป่วยจริงๆ ต้องฝึกการปฏิบัติงาน
ฝึกดูผู้ป่วยจริง หรือนักเรียนแพทย์ที่ในบางครั้งเราเห็น เวลาที่มาขอตรวจ
มาขอซักประวัติ มาขอศึกษากับผู้ป่วยจริงๆ มากันเป็นกลุ่มใหญ่ๆนั่นละครับ
ส่วนปีไหนอยู่ชั้นไหนส่วนไหน อันนี้ละเอียดเกินขอข้ามไปนะครับ ซึ่งถ้าคุณผู้อ่านบางท่านเคยไปตรวจแล้วให้โอกาสนักศึกษาแพทย์เหล่านี้ได้ตรวจ
ได้เรียนรู้ ก็จะเหมือนกับเป็นอาจารย์หมอคนหนึ่งด้วยนะครับ
ปี 6 จะเรียกอีกอย่างว่า เอ็กซเทิร์น (Extern)
ครับ ก็คือชั้นปีสุดท้ายที่ยังเป็น นักเรียนแพทย์อยู่
(กำลังจะจบนั่นแหละครับ) เพราะในปีต่อไปก็จะจบ มีปริญญา และเป็นแพทย์เต็มตัวแล้ว
แพทย์ใช้ทุนปีที่ 1 หรือ อินเทิร์น (Intern) เรียกชื่ออีกอย่างสวยๆว่า “แพทย์เพิ่มพูนทักษะ” ครับ เป็นแพทย์ปีที่ 1
ที่ถูกส่งไปใช้ทุนตามที่โรงพยาบาลประจำจังหวัดต่างๆโดยน้องๆแพทย์กลุ่มนี้ก็จะปฏิบัติงานรักษาผู้ป่วยได้ด้วยตัวเองจริงๆ
(มีปริญญาและใบประกอบวิชาชีพเวชกรรมนั่นละครับเป็นหลักฐานว่าสอบผ่านแล้ว เป็นหมอแล้ว สามารถรักษาผู้ป่วยได้)
และจะมีการฝึกทักษะบางอย่างเพิ่มเติมด้วย
ดังนั้น เอ็กซเทิร์น คือ
นักเรียนแพทย์อยู่นะครับ ส่วน อินเทิร์น คือแพทย์ที่จบแล้วนั่นเอง
แพทย์ใช้ทุนปีที่ 2-3 จะไม่เรียก
อินเทิร์นแล้วนะครับ แต่บางทีจะมีการเนียนๆเรียกว่า อินเทิร์น 2-3 บ้าง เพื่อบอกลำดับปีกันไป
จะได้เข้าใจง่ายขึ้น ส่วนใช้ทุนปี 2-3 นี้ก็จะไปทำงานตามที่โรงพยาบาลประจำอำเภอ
หรือที่เค้าเรียกว่าออกไปใช้ทุนที่ชุมชนนั่นละครับ
ก็จะเป็นช่วงที่มีการรักษาผู้ป่วยด้วย
บางคนก็ได้ทำงานสายบริหารเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลไปด้วย ฝึกฝนงานหลายๆอย่างด้วยนะครับ
ส่วนการจะไปที่โรงพยาบาลจังหวัดใด
โรงพยาบาลอำเภอใด ก็แล้วแต่การจับฉลาก
หรือการคัดเลือกซึ่งบางครั้งจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในแต่ละปีครับ
หลังจากใช้ทุนไป 2-3
ปีแล้ว แพทย์ท่านใดอยากเรียนต่อ ก็จะมีการกลับเข้ามาเรียน
ตามสาขาที่ตัวเองต้องการโดยการเข้ามาก็จะมีการกำหนดอีกครั้งว่า ต้องใช้ทุนกี่ปี
จึงจะสมัครได้ ต้องมีทุนมาด้วยหรือไม่ สถาบันนั้นๆรับกี่คน
เป็นรายละเอียดปลีกย่อยเกินไปซึ่งจะขออนุญาตข้ามไปนะครับ
เมื่อได้เรียนต่อเฉพาะทางแล้วก็จะขึ้นอยู่กับสาขาที่เราอยากจะเรียนต่อครับ
เช่น คุณหมออายุรแพทย์ ศัลยแพทย์ ซึ่งแพทย์ด้านไหนทำงานด้านไหน
ก็เคยเล่าให้ฟังกันไปบ้างแล้ว
ระยะเวลาในการเรียนก็จะแตกต่างกันไปตามสาขาประมาณ
3-5 ปีครับหลังจากเรียนด้านนี้แล้วก็จะมีเฉพาะทางต่อยอดขึ้นไปอีกเช่น
เรียนเฉพาะทางเป็นศัลยแพทย์
ประมาณ 4 ปี จบแล้วก็จะเป็นศัลยแพทย์ทั่วไปก่อนครับ
จากนั้นอาจจะมีการเรียนต่อยอดต่อไปอีกเช่น ศัลยแพทย์ ลำไส้ใหญ่และทวารหนัก
ต่อยอดไปอีกครับ
ซึ่งในขณะที่เรียนต่อนั้น
ก็จะเรียกแพทย์(ที่กำลังศึกษาต่อนี้)ว่า แพทย์ประจำบ้านครับ
ส่วนถ้าแพทย์ท่านนั้นหลังจากจบเฉพาะทางแล้ว
เรียนต่อเพิ่มขึ้นไปอีกก็จะเรียกว่า แพทย์ประจำบ้านต่อยอดครับ
หลังจากจบแพทย์ประจำบ้านหรือแพทย์ประจำบ้านต่อยอดก็จะถือว่าแพทย์ท่านนั้นเป็นแพทย์เฉพาะทาง
ก็จะสามารถเป็นอาจารย์แพทย์ได้ต่อไป โดยจะขึ้นอยู่กับรายละเอียดในแต่ละสถาบันนั้นๆครับ
จริงๆแล้วยังมีแนวทางอื่นๆนอกจากที่ต้องใช้ทุนอีกนะครับ
บางสาขาไม่ต้องใช้ทุนสามารถเรียนต่อได้เลย
หรือบางสถาบันก็สามารถเปิดสอนสาขาที่ขาดแคลนได้เลย บางครั้งใช้ทุนไปด้วย
เรียนไปด้วยได้ ซึ่งรายละเอียดปลีกย่อยอาจจะมากเกินไปนิด
ไว้ได้เป็นหมอก่อนค่อยรู้ยังไม่สายครับ...
สรุปแล้วกว่าจะเรียนจบกันจริงๆจังแบบเฉพาะทางต่อยอด
รวมเวลาใช้ทุน (6) + (3) + (3-5) + (1-2) ประมาณ 10
-15 ปี ถ้าเริ่มเข้าเรียนหมอตอนอายุ 18 กว่าจะอิ่มตัวเต็มที่
ก็ประมาณ 30 ขึ้นละครับ(เหนียงเริ่มคล้อย)
แต่ในระหว่างที่เรียน(หมายถึงกรณีที่จบแพทย์แล้วเรียนต่อนะครับ)
เราก็จะทำงานไปด้วย กึ่งๆเรียนไปด้วยทำงานไปด้วยเนี่ยแหละครับ
เพราะฉะนั้น ถ้าคุณเข้าไปตรวจในโรงพยาบาลที่เป็นโรงเรียนแพทย์ด้วย
เช่น ศิริราช จุฬาฯ มาตรวจทีหนึ่งก็จะมีอาจารย์แพทย์
แพทย์ประจำบ้านต่อยอด(บางสาขา) แพทย์ประจำบ้าน และนักศึกษาแพทย์อีกจำนวนหนึ่ง
มาเป็นขบวนขันหมากละครับ หมอหลายคนตรวจ ดูอบอุ่นดี แถมเพิ่มความละเอียดในการตรวจอีกหลายๆชั้น
ถาม : ทำยังไงจะได้เป็นหมอ
ตอบ : ก่อนจะได้เป็นหมอ แน่นอนครับ ก็ต้องเรียนหมอซะก่อน
(โอ้วเป็นคำตอบที่เหลือเชื่อจริงๆคะจอร์จ) แล้วงั้นย้อนถามไปอีกครับว่า
ทำยังไงจะได้เรียนหมอ คำตอบคือก็ต้องสอบหมอให้ได้ (โอ้วเป็นคำตอบที่เหลือเชื่อจริงๆคะซาร่า)
...............-_-‘
ข้ามย่อหน้าด้านบนไปก็ไม่เป็นไรหรอกครับ ไม่ค่อยมีสาระอะไร
ถ้าจะว่ากันจริงๆ สิ่งแรกที่คนเรียนหมอควรมีคือ “ใจรัก” (เช็ดเด้)
ตามหลัก
อิทธิบาท ๔ ละครับ การที่เราจะประสบความสำเร็จ อะไรก็ต้องใจรักก่อน
ถ้าจะสอบเข้าหมอให้ได้ ก็ต้องใจรักก่อน จะได้มีความพยายามความตั้งใจ
ที่จะอ่านหนังสือจะได้ เรียนได้ ทำข้อสอบได้
ซึ่งการที่เราจะมีใจรักได้นั้น
ก็ต้องคิดให้ดีก่อนครับ ว่าเราอยากเป็นหมอจริงๆรึเปล่า
เพราะสถาบันวิจัยหมอใหม่หัวใจแนวแอนด์เดอะแก๊ง ได้ทำการวิจัยมาบางส่วนแล้วว่า
เหตุผลที่เด็กๆอยากเป็นหมอมีอยู่ไม่กี่อย่าง ได้แก่
1.
อยากช่วยเหลือคน (ส่วนมากเกือบจะทั้งหมด)
2.
พ่อแม่
และคนในครอบครัวสั่งมา (ส่วนหนึ่ง)
3.
มีอนาคตที่มั่นคง
การงานดี (ส่วนหนึ่ง)
4.
เก่งเกินจนไม่แน่ใจว่าอยากเรียนอะไรแต่ด้วยค่านิยมของประเทศที่ว่าคนเก่งต้องเป็นหมอจึงมาเรียนหมอ
(เพื่อนผมคนหนึ่งเคยบอกผมด้วยเหตุผลนี้จริงๆครับ) (ส่วนน้อยนิด)
ซึ่งไม่ว่าจะเข้ามาด้วยเหตุผลอะไรแต่หมอทุกคนที่จบออกไป จะต้องมีความรับผิดชอบในการช่วยชีวิตคนอย่างเต็มความสามารถยู่แล้วครับ แต่ถ้าจะว่ากันจริงๆโดยรากฐานแล้วก็ต้องมีความอยากช่วยเหลือผู้อื่นก่อนละครับ จึงควรจะมาทำงานอาชีพนี้
เพราะอาชีพนี้งานที่ต้องรับผิดชอบก็คือการช่วยเหลือคน และเป็นอาชีพที่งานหนัก ความกดดันสูง ต้องรับผิดชอบชีวิตคน และสังคมคาดหวัง
หากเข้ามาด้วยความที่ไม่อยากเป็นหรอกหมอ แต่อยากรวย(ซึ่งก็ไม่ได้เป็นอาชีพที่รวยแต่อย่างใด)
หรือไม่อยากช่วยเหลือคนหรอก แค่เตี่ยสั่งมา ก็จะไม่มีกำลังใจเรียน กำลังใจสอบ
หรือสอบเข้ามาได้แล้วก็เรียนอย่างไม่มีความสุข หรือเรียนจบแล้วเป็นหมอแล้ว
แต่ก็ลาออกเพราะอยากไปทำงานอย่างอื่น ไม่อยากรักษาคนไข้แล้ว ประเทศเราก็จะเสียทรัพยากรหมอไปฟรีๆโดยไม่ได้อะไรเลย
(ได้หมอมาแต่ไม่รักษาคนไข้)
ส่วนการที่จะตัดสินใจเรียนหมอดีจริงหรือไม่นั้น
ลองไปเข้าค่ายแนะแนวตามคณะแพทย์ดูครับ จะพอบอกอะไรได้ เช่นค่ายอยากเป็นหมอ
เปิดรั้วโรงเรียนแพทย์ ค่ายเหล่านี้จะพอมีรายละเอียดอยู่บ้าง มีพี่ๆ
มีอาจารย์ที่เป็นหมอมาแนะนำสักถามข้อสงสัยรวมทั้งเล่าเรื่องการเป็นหมอให้น้องๆฟัง
อาจไม่ละเอียดหรือให้ความรู้สึกกับการเป็นหมอจริงๆแต่ก็ให้บรรยากาศและพอจะตอบข้อสงสัยบางประการของน้องๆได้บ้าง
เมื่อได้ความตั้งใจที่ดี
อยากเรี้ยน อยากเรียนจริงๆแล้ว ความตั้งใจ ความมุ่งมั่นก็จะตามมาเอง
ส่วนเรื่องวิธีการเตรียมตัวอ่านหนังสือ กวดวิชาที่ไหนดี ไม่มีสูตรตายตัว ครับ
เรียนที่ไหนก็ได้ที่ทำให้เรา “เข้าใจ” อย่าใช้วิธีการตามๆกันไป ที่ไหนเค้าว่าดี
ตามเค้าไปเรียนหมด เราจะเหนื่อยแถมไม่ได้อะไรกลับมาอีกต่างหาก จริงๆเอาแค่คำแนะนำมาพอว่าเรียนที่นั่นที่นี่ดี
ส่วนจะตัดสินใจเรียนหรือไม่ แล้วแต่เราอีกที หรือจะไม่เรียนเลยมาแนวอ่านเองมันส์กว่าพี่!! ก็ไม่ต้องเรียน
เพราะเป้าหมายของเราคือเข้าใจในบทเรียนและทำข้อสอบได้ ไม่ใช่ว่าต้องเรียนกวดวิชายิ่งเยอะที่ยิ่งดีต่อชีวิตนะจ๊ะ
เมื่อเข้ามาเรียนหมอแล้วจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่
ก็ต้องอดทน ขยัน ตั้งใจที่จะเป็นหมอที่ดีให้ได้ เพราะสุดท้ายแล้วงานและหน้าที่ของเราคือการรักษาคนไข้
การช่วยเหลือชีวิตคน ซึ่งเป็นงานที่ต้องรับผิดชอบสูง และต้องจบไปเป็นหมอที่มีคุณภาพ
และคุณธรรม
ดังนั้นหมอก็อาชีพๆหนึ่งนั่นละครับ
มีทั้งข้อดี ข้อเสีย
ที่เขียนเรื่องราวนี้ขึ้นมาเพราะเราๆท่านๆมักจะได้ยินเด็กๆบอกว่า อยากเป็นหมอๆ
แต่พอมาเป็นหมอจริงๆบางส่วนก็จะบอกว่า ไม่น่าเลย หรือบางส่วนไปไม่ถึงฝั่งฝัน
ระเหิดตัวเองออกจากคณะก่อนจบย้ายไปอยู่คณะอื่น หรือพอจบแล้วก็ย้ายค่ายไปสู่อาชีพอื่น
โดยมีความรู้สึกติดอยู่ในใจว่า “ถ้าตอนนั้นไม่ได้เรียนหมอนะ.................” หรือ
“ตอนนั้นไม่น่าเรียนหมอเลย” ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ใครได้ยินได้ฟังก็รู้สึกไม่ดีเป็นธรรมดา
โดยส่วนตัวผมเองนั้น
มาเป็นหมอเพราะพ่อกับแม่อยากให้เป็นครับ พูดให้ฟัง กล่อมเข้าระบบประสาทตั้งแต่อายุประมาณ
2 เดือนเท่าที่จำความได้ (อันนี้เว่อร์ครับ)
ดังนั้นพอจะเข้ามหาวิทยาลัยก็เลยมีเพียงเป้าหมายเดียว คือ “เป็นหมอ” เมื่อได้เข้ามาเป็นแล้วก็ไม่ได้รู้สึกแย่อะไร
รู้สึกว่าสนุกดี มีทั้งทุกข์ทั้งสุขก็คงเหมือนกับการเรียนคณะอื่นๆนั่นแหละครับที่มีทั้งทุกข์ทั้งสุขปะปนกัน
การช่วยเหลือคนก็ถือว่าเป็นหน้าที่ที่ต้องทำ
เมื่อเรียนมาแล้วก็อยากนำความรู้ที่เรียนมามาใช้ให้เกิดประโยชน์ และเมื่อทำแล้วประสบความสำเร็จคนไข้หายจากโรคภัยไข้เจ็บก็รู้สึกภาคภูมิใจพอตัว
ถ้าย้อนกลับไปในตอนนั้นถ้าไม่เรียนหมอผมก็ไม่รู้จะเป็นอะไรครับ
เพราะคิดไม่ออกจริงๆ ถ้าเลือกเรียนอีกก็คงเลือกหมอเหมือนเดิม
เพื่อนผมหลายคนที่บ่นๆว่าไม่น่ามาเป็นหมอเลย
ปัจจุบันก็นั่งทำงานอยู่ข้างๆกันนี่ละครับ พอถามว่าถ้าเลือกได้ใหม่จะเป็นอะไร
ก็ได้คำตอบว่า “เออ นั่นสิ ก็คงเป็นหมอเหมือนเดิมนั่นแหละมั้ง” ตลกดีแฮะ
ดังนั้นแล้วการเป็นหมอจะดีหรือไม่ดีก็แล้วแต่ตัวบุคคลครับ
บางคนเป็นหมอที่มีความสุข บางคนเป็นหมอที่ไม่มีความสุข บางคนก็เรียนแบบเลยตามเลย
บางคนก็ตั้งใจเข้ามาเรียนจริงๆอยากช่วยคนจริงๆ บางคนเรียนจบ บางคนก็เรียนไม่จบ
บางคนเป็นหมอจนเกษียณแล้วก็ยังมาทำงานต่อ บางคนจบหมอปุ๊บลาออกทันที เหมือนที่ผมบอกอยู่ตลอดว่าอาชีพหมอก็เหมือนอาชีพอื่นๆ
มีข้อดี ข้อเสีย ทุกข์ สุข ปะปน
แต่เหนือสิ่งอื่นใดคนที่เข้ามาทำอาชีพนี้ต่างหากที่จะรับกับข้อดีข้อเสียทุกข์สุขเหล่านี้ได้มากน้อยแค่ไหน
และในท้ายที่สุดไม่ว่าจะเป็นหมอเพราะอะไร เมื่อจบเป็นหมอมาแล้วหน้าที่ของหมอคือการรักษาและช่วยเหลือคนไข้อย่างเต็มกำลังความสามารถ เพื่อสุขภาพที่ดีของคนไข้(ประโยคนี้ขอหล่อ)
เพราะฉะนั้นอยากฝากไปถึงผู้ปกครองและเด็กๆที่อยากเป็นหมอๆ
ทุกคนว่า เลือกสิ่งที่จะเป็นดีๆเพราะนี่คือสิ่งที่จะต้องอยู่ไปด้วยทั้งชีวิต
ไม่ใช่แค่การสอบได้หมอแล้วจะประสบความสำเร็จแล้วสิ้นสุดแล้ว แต่มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของชีวิตส่วนที่เหลือ
และแน่นอนการไม่ได้เป็นหมอ ก็ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของชีวิตเช่นกัน
เลือกในสิ่งที่ตัวเองอยากเป็น
อยากอยู่กับมันหรือคิดว่าอยู่กับมันได้ทั้งชีวิตโดยที่เราไม่เป็นทุกข์นะจ๊ะ
ปล. 1. ช่วงนี้ผมติดภารกิจสำคัญมากบางประการครับ
ต้องไปเข้าค่ายอบรมการประกวด ผู้ชายที่ perfect ที่สุดในจักรวาล(คู่แข่งหนุ่มชาวไซย่าหล่อมาก) คงต้องหยุดไปประมาณ 1 เดือนเป็นอย่างน้อยละกันนะครับ
แต่จะเข้ามาเพ่นพ่านใน facebook หมอใหม่หัวใจแนวรวมทั้งมีเรื่องมาเล่าให้ฟังบ่อยๆก็แล้วกัน
(ข้อคิดจากพนักงานทำความสะอาด,เรื่องเด่นคืนนี้,คำถามชวนคิด ฯลฯ)
2. แอบส่องคนที่มากด like ใน facebook หลายคนน่ารักนะครับ อิอิ แต่ต้องยึดกฎอย่าเพิ่งเชื่อว่าสวยแม้เห็นรูปใน facebook
อีก ประมาณ 1 เดือนคงได้พานพบสวัสดีครับ.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น