คำแนะนำทำใจก่อนอ่านบล็อก

1. บล็อกนี้เป็นบล็อกเพื่อสุขภาพและความบันเทิง
2.ข้อมูลในบล็อกนี้ไม่ควรนำไปอ้างอิง แต่ถ้าจะส่งต่อเพื่อความรู้และความเข้าใจ เชิญเลยจ้ะ
3.โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านบล็อก
4.หากจะรักษาโรคใดๆ หรือต้องการข้อมูลสุขภาพสำหรับแต่ละบุคคล ปรึกษาแพทย์โดยตรงเลยดีกว่าจ้ะ

วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บทที่ 7 : แม่คะหนูอยากเป็นหมอ...(ภาคแรก)


                 สวัสดีทุกท่านครับ กลับมากันอีกทีกับ เรื่องราวไร้สาระ(แน) ของผมนะครับ ในช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลง บ่อยครับ บางวันฝนตก บางวันน้ำท่วมซะดื้อๆ วิดน้ำอีกที กลับมาร้อนอีกละ เฮ้อ......ระวังรักษาสุขภาพนะครับ ไข้หวัด ภูมิแพ้ กวัก มือเรียกสวัสดีทุกท่านกันแล้ว อย่าไปทักมันบ่อยละครับ ออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ เจ็บป่วยไม่สบายก็ปรึกษาแพทย์แต่เนิ่นๆอย่ารอหนักมากๆแล้วค่อยไปนะครับ (เค้าเป็นห่วงนะ)

                 ก่อนอื่นก็ต้องขอบคุณทุกท่านนะครับที่เข้าไปมีส่วนร่วมใน facebook ของผมอย่างคับคั่ง และเข้าไปดู blog ผมกันจน page view เยอะขึ้นมากอย่างน่าอัศจรรย์ใจ เรียนตามตรงเห็นทีแรกก็ไม่นึกหรอกครับ นึกว่าจะมี face ตัวเองกด like อยู่คนเดียว

                 นั่นก็แสดงว่าผู้คนส่วนหนึ่งก็มีความสนใจในเรื่องราวระหว่าง หมอ กับ คนไข้ อยู่เนาะ แม้ว่าเรื่องราวนั้นจะเกี่ยวกับสุขภาพ เนื้อหาอัดแน่นเปรี๊ยะ เข้มข้น หรือเป็นเรื่องเบาๆ สบายๆ ชิวๆ ประชดประชัน ก็อ่านกัน เพราะฉะนั้นที่เค้าบอกว่าคนไทยอ่านหนังสือวันละไม่เกิน 6 บรรทัดนี่ ก็คงต้องมีเคืองกันบ้างละ

                  สำหรับท่านที่สนใจเรียนเชิญนะครับ "หมอใหม่หัวใจแนว" ถาม google กับ facebook เขาก็รู้จักผม ลองถามเขาดู ลง ลิงค์เดี๋ยวกระทู้หาย (เพราะเคยทำมาแล้ว)

                   สำหรับเรื่องราววันนี้ครับ แรงบันดาลใจก็มาจากการที่ช่วงนี้เห็นลูกๆหลานๆ ไม่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!! เอิ่ม...................ผิดๆ ต้องเป็นน้องต่างหาก (กระชากวัยตัวเองให้ได้) เห็นน้องๆกำลังลุ้นผล แอดมิชชั่นกันอย่างคับคั่ง เครียดกันใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ปกครองซึ่งคิดว่าก็คงเครียดกว่าเด็กอีกมั้งครับ ถ้าคิ้วเด็กผูกกันเป็นเงื่อนพิรอด คิ้วผู้ปกครองก็คงเป็นถึงขนาด เงื่อนขัดสมาธิ เงื่อนบ่วงสายธนูกันเลยทีเดียว (รู้จักละสิ คิดถึงสมัยเรียนเนตรนารีกับยุวกาชาด นานยังจ๊ะ) ซึ่งก็ไม่แปลกใจครับเพราะนี่เป็นการตัดสินที่สำคัญ มีผลต่ออนาคตข้างหน้า (แต่ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตนะ)

                 นั่นก็ทำให้ผมคิดย้อน ย้อนย้อนนนนนนนนนนนนนน เฮ้ย!! นานไปละลูกพี่ คิดย้อนไปวันวาน(นิดหน่อย)ครับ ว่าเออ ตอนนั้นทำไมมาเป็นหมอได้หว่า อะไรโดนใจ กระแทกใจ บันดาลใจ ขยุ้มใจ(บร๊ะ!! ศัพท์อะไรฟะ) ให้มายึดถือ เดินทางในสายอาชีพนี้

                 ในขณะที่พอมาเป็นหมอจริงๆ บ่นทุกวัน เหนื่อย เบื่อ เซ็ง อยากหยุด อยากลาออก มองฟ้าตะโกนก้อง "ฉันมาทำอะไรที่นี่ม่ายยยยยยยยยยย!!!" แล้วก็เริ่มมีการเปรียบเทียบเกิดขึ้นตัวอย่างเช่น

                  เพื่อนผมนายหนึ่ง เป็น หมอเหมือนกันนี่ละครับ สมมติชื่อ สยึ๋มกึ๋ย แล้วกัน เป็นส่วนหนึ่งของคำพูดมันตอนมาพรั่งพรูตอนแฟนทิ้ง (กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่าน เรื่องราวบางส่วนผ่านการใส่สีตีไข่มาแล้ว อาจมีคำพูดไม่สุภาพผู้ชมอายุ ต่ำกว่า 20 ปี ควรได้รับคำแนะนำ (จากผู้อายุมากกว่า))
                  
กึ๋ย : "ตอนอยู่มัธยมนะเว้ย กูเป็นเด็กห้อง คิง (ลี่...ขี้ลิง) เกรด เทพ A++ (ยังกะ SPF++) ตัวแทนตอบปัญหา ชนะ 8 ปีซ้อน(มัธยมเค้าเรียน 6 ปีพี่) สอบ 100 เต็มได้ 101 (อีก 1 คะแนนเนื่องจากไปเถียงอาจารย์ชนะ) แล้วมึงดูกูตอนนี้ดิ เงินเดือน 40000 กว่า ทำงาน อาทิตย์นึง 7 วัน อยู่เวร 5 เวรต่ออาทิตย์ เสี่ยงโดนฟ้อง โดนด่า โดนร้องเรียน แฟนเค้าก็ทิ้งกูไป เค้าบอกกูไม่มีเวลาให้ แล้วมึงจำไอ้สยองก๋อย  เพื่อนเราได้เปล่า  ไอ้ก๋อยที่เรียนเกรดน้อยกว่ากูเยอะ มันไปทำร้านอาหาร เดือนนึงได้เกือบ 2 แสน ล่าสุดก็เพิ่งถอย บีเอ็มมาอวด ควงหญิงมา 3 แต่ละคนเทพๆทั้งนั้น มึงดูดิ เรามาทำอะไรที่นี่วะ ถ้าตอนนั้นกูรู้ว่าเรียนหมอแล้วเป็นแบบนี้ กูหันไปทำอย่างอื่น มึงว่าชีวิตกูจะเป็นแบบนี้ไหม??"

ผม :  "ไม่รู้สิ อาจเทพกว่านี้ รวยล้นฟ้า หญิงตรึม ใช้ชีวิตสบาย หรืออาจตกอับ ยากจน ไม่มีข้าวจะกิน ชีวิตลำบาก อนาถใจ บอกไม่ได้หรอก เพราะคำถามนี้ เป็นคำถามที่เกี่ยวเนื่องกับอดีต ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว สิ่งที่มึงควรทำตอนนี้คืออยู่กับปัจจุบัน ทำให้ดีที่สุด สนุกกับชีวิตที่เป็นอยู่ มองในมุมบวก แล้วมีความสุขกับมัน"

กึ๋ย : "มึงหล่อวะ"
ผม : "อันนั้นรู้ เพราะหลักฐานก็คาหน้าอยู่เนี่ย"
(2 บรรทัดหลังนี่ข้ามไปก็ได้ครับ ........... ไร้แก่น -_-')

                 นั่นคือส่วนหนึ่งของการสนทนา ที่คิดขึ้นมาได้ ประกอบกับ อีกหนึ่งแรงบันดาลใจคือ ปัจจุบันเวลาเป็นหมอแล้ว บางครั้งก็จะมีพ่อแม่ บรรดาญาติๆทั้งหลายมาสอบถาม รวมถึง มีกระทู้โพสต์ถาม เรียนถาม ขอความช่วยเหลือ อยากทราบเหลือเกินว่า “ทำยังไงอยากเป็นหมอ”
“หมอๆหมอว่าผมให้ลูกเรียนหมอดีไหม”
“ทำยังไงถึงให้ลูกเป็นหมอได้”
“หมอครับ หมอเรียนพิเศษไหม เรียนที่ไหนอ่ะคะ(ภาษาวัยรุ่น)
“หมอรวยไหม”
“หมองานหนักจริงเปล่า?”
“หมอมีแฟนไหม (อันนี้เคยเจอมาจีบให้ลูกสาว อะแฮ่ม!!
          
                  ผมเองก็เคยมีโอกาสได้คุยเรื่องนี้กับ เด็กๆ วัยรุ่น ที่อยากเป็นหมอ อยากเรียนหมอมาสักนิดรวมถึงผู้ปกครองเองด้วย
           
                  สิ่งที่ได้จากการสนทนาก็คือเด็กหลายๆคนใฝ่ฝันครับ ใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นหมอ จะจากตัวเอง หรือพ่อแม่ส่งเสริมก็ตาม แต่เด็กเหล่านั้น(และผู้ปกครอง) ยังไม่รู้จักอาชีพ "หมอ" หรือรู้แค่บางส่วน รู้จักไม่ดีพอ และที่น่าแปลกใจ ก็คือ ยังมีพ่อแม่ หรือเด็กๆหลายๆคนเข้าใจว่าหมอเป็นอาชีพ "งานสบายรายได้ดี" กันอยู่

                 ดังนั้นในบทความเรื่องนี้ผมขออนุญาตโยกย้าย โยกย้าย มาส่ายสะโพก....พอๆ โยกย้ายจากเรื่องวิชาการ(ซึ่งก็ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว) มาดูเรื่องราวอนาคตของชาติ(บรู๊ยยยย) กันบ้างนะครับ (เป็นประเภทวิชาการได้ไม่ค่อยนานนะครับ)
  
แต่ช้าก่อนนนนนนนนนนน!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ขอย้ำแบบขีดเส้นใต้เลยนะคะ ขีดเส้นใต้ว่า “ความคิดความรู้สึก และ ข้อมูลทั้งหลายนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่ผมได้มีโอกาสสัมผัสโดยตรงคนเดียว และฟังเพื่อนแพทย์มาบ้างเท่านั้น นั่นหมายความว่าการที่จะเป็นหมอนั้นในบางครั้งอาจจะไม่ได้เป็นในรูปแบบนี้ ไม่ได้รู้สึกอย่างนี้ สรุปก็คือขึ้นอยู่กับคุณหมอแต่ละคนด้วยนะจ๊ะ เป็นความเชื่อส่วนบุคคล โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะจ๊ะ”

ถาม :       “เป็นหมอดียังไง”
ตอบ :      นั่นสิครับ (เฮ้ย !!) ผมหมายถึงคำถามนี้ตอบยากครับ แล้วแต่ตัวบุคคลว่าคำว่า "ดี" เนี่ยคือยังไง 

                การเป็นหมอก็เป็นอาชีพๆหนึ่ง ที่ต้องมีคุณธรรมในการประกอบวิชาชีพ เช่นเดียวกับอาชีพอื่นๆ มีความรับผิดชอบเหมือนกับอาชีพอื่นๆ แต่สิ่งที่คุณต้องรับผิดชอบในที่นี้อาจจะกดดันคุณเล็กน้อย เพราะสิ่งที่คุณต้องรับผิดชอบคือ “ชีวิต” หากคุณเกิดการผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียว ผู้ป่วยก็มีโอกาสจะเสียหายได้ แต่การเสียหายนี้ไม่ได้หมายถึงเงินทอง(ค่ารักษา)อย่างเดียว แต่ยังอาจหมายถึง ความเจ็บป่วย ความพิการ การเสียชีวิต อาจจะเปลี่ยนชีวิต ชีวิตหนึ่งไปได้เลยตลอดกาล แต่ก็อย่าเพิ่งกลัวไปนะครับ  เพราะในการผลิตแพทย์ 1 คนนั้น ต้องใช้เวลานาน(ตั้ง 6 ปี) ใช้บุคลากรที่มีคุณภาพ สถาบันที่มีคุณภาพ เพื่อผลิตแพทย์ที่มีจริยธรรม คุณธรรม และคุณภาพ เพื่อมารับผิดชอบในส่วนตรงนี้  ซึ่งผมเองทีแรกก็เด็ก ม. ปลาย หน้าตาเอ๊าะๆ ธรรมดานี่ละครับ พอเรียน 6 ปี ก็สามารถมีความรู้ ความสามารถที่จะ รักษาคนได้ ช่วยชีวิตคนได้ รับผิดชอบส่วนนี้ได้ และ หน้าแก่ขึ้นได้..........อันนี้ชัดเจน -_-'
               
               ข้อดีของหมอมีมากมายแล้วแต่คนจะมองและตัดสินว่าสิ่งนั้นถือว่าดีหรือไม่ เช่น การได้ช่วยชีวิตคน ความสุขจากการที่ได้ช่วยให้คนๆหนึ่งกลับมาแข็งแรง ยิ้มให้เรา และบอกว่า “ขอบคุณมาก” เป็นสิ่งที่ทำให้ปลื้มใจ ภูมิใจ ได้อย่างแน่นอน ตัวอย่างบางคำพูดจากเพื่อนผม

 หมอสูติ(ทำคลอด)  :  "ดีออก แก ได้อุ้มเด็กคนแรกเลย แม่เขายังไม่ได้อุ้มลูกเขาเลยนะ เราได้อุ้มลูกเขาก่อนอีก ตอนที่เด็กร้อง น่ารักดี ทำให้คนเกิดได้บุญนะ"

หมอกระดูก : "ก็ดีนะ เนี่ยขาคุณยายหายแล้ว เมื่อวานยังมาขอบคุณกูอยู่เลย เอาของมาให้ด้วย บอกไม่เอาก็จะให้ให้ได้  หน้าตาแกมีความสุขมากเลยนะ แกบอกแกเดินได้แล้วแกจะไปเที่ยวกับลูก ไม่ต้องนั่งรถเข็นไปแล้ว"
 
               และแน่นอนครับเป็นความสุข ความอิ่มเอิบใจ ความปลาบปลื้มใจ ที่คุณจะหาจากที่ไหนไม่ได้แน่นอน
              
                อีกอย่างคืออาชีพหมอเป็นอาชีพที่ถือได้ว่ามั่นคง(ณ เวลานี้) รายได้แล้วแต่บุคคลนะครับ ผมไม่ขออ้างถึง แต่ว่าไม่อดตายแน่นอน หมอยังเป็นอาชีพที่ขาดแคลนมาก เพราะฉะนั้นโอกาสหมอตกงาน น้อยถึงน้อยมากครับ นอกจากนี้เมื่อจบไปแล้วก็แทบจะมีที่ทำงานทันที ต้องไปใช้ทุนอยู่แล้วตามโรงพยาบาลชุมชน(ตามอำเภอต่างๆ) เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่หมอแทบไม่เคยต้องทำคือสมัครงาน(หรือวิจัยฝุ่น) เว้นแต่หมอคนนั้นมีความประสงค์จะทำงานที่อื่นนอกจากระบบราชการ หรือทำที่อื่นต่างหากเช่นตามโรงพยาบาลเอกชนต่างๆ คลินิกอันนี้ก็แล้วแต่ครับ

ถาม : “หมอเรียนนานตั้ง 6 ปีเชียวเหรอ”
ตอบ : ไม่แน่ครับ แล้วแต่คน งงละสิ บางคน 7 ปี 8 ปี (ถ้าสอบตก อิอิ) แต่โดยมาตรฐานก็คือเรียน 6 ปีครับ โดยในแต่ละปีก็จะเรียน ไปตามระบบ แบ่งง่ายๆให้เห็นชัดเจน

ชั้น Pre-clinic หรือ พรี คลินิก นั่นเอง ในชั้นนี้จะเป็นการเรียนในทางทฤษฎีเป็นส่วนใหญ่ครับ นั่งเรียน เหมือนเรียน lecture หรือนั่งเรียนนั่งสอนกันไปในชั้นเรียนครับ จะยังไม่ต้องเจอผู้ป่วยหรือว่าขึ้นตึกผู้ป่วย หรือตรวจผู้ป่วยจริงๆ แต่จะเรียนทฤษฎีเกี่ยวกับผู้ป่วยจริงๆทั้งหมด และจะมีตัวอย่างผู้ป่วยมาให้เรียน การเรียนกับท่านอาจารย์ใหญ่ ทำการทดลอง ใช้กล้องจุลทรรศน์ดูสิ่งต่างๆ เช่น เลือด พยาธิ ก็เรียนกันในชั้นนี้ละครับ จะเรียนทั้งส่วนที่ร่างกายปกติเป็นอย่างไร และร่างกายผิดปกติและโรคในส่วนต่างๆเป็นอย่างไร เป็นการเรียนพื้นฐานที่จำเป็นทั้งหมดในการเป็นแพทย์ แต่จะเป็นลักษณะทฤษฎีก่อน ชั้นนี้จะใช้เวลาทั้งสิ้น 3 ปีครับ

ชั้น Clinic หรือชั้น คลินิก ก็จะเป็นการเรียนเหมือนกันครับ แต่เริ่มมีการเรียนกับผู้ป่วยจริงๆแล้ว มีการขึ้นปฏิบัติงานในหอผู้ป่วย ก็จะเป็นนิสิตนักศึกษาแพทย์ที่บางครั้งเวลาที่ผู้ป่วยไปรักษาตามโรงพยาบาลต่างๆที่มีเปิดสอนคณะแพทย์ด้วย ก็จะมีน้องๆเหล่านี้ละครับมานั่งเรียนด้วย บางครั้งก็จะมีการขอตรวจ ขอซักประวัติ ขอตรวจร่างกายตามที่สมควร และไม่เป็นการรบกวนผู้ป่วยมากเกินไป และในชั้นปีนี้ก็จะมีการไปร่วมเรียนรู้กับคุณหมอเฉพาะทางในสาขาต่างๆร่วมด้วยครับ เริ่มมีการเข้าห้องผ่าตัดจริงๆ ฝึกผ่าตัด เย็บแผลต่างๆ ฝึกการทำคลอดจริงๆ ตรวจผู้ป่วยพร้อมฝึกการจ่ายยาจริงๆ แต่โดยทั้งหมดทั้งมวลจะต้องมีอาจารย์แพทย์ หรือพี่แพทย์ประกบอยู่ด้วยเสมอ  (เพราะฉะนั้นผู้ป่วยไม่ต้องห่วงครับ) นอกจากนี้ในช่วงนี้ก็ต้องมีการอยู่เวรร่วมกับคุณพี่ๆแพทย์ทั้งหลายด้วยครับ เพื่อเป็นการฝึกดูผู้ป่วยและร่วมรักษาไปด้วย มีการอดนอน อยู่เวรข้ามคืนกันด้วยนะเออ ชั้นนี้ก็จะใช้เวลาทั้งสิ้น อีก 3 ปีเช่นเดียวกันครับ
                
                ดังนั้นจะเห็นได้ครับว่าการเรียนแพทย์ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่แน่นอนก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นเดียวกัน หากตั้งใจก็ไม่มีใครทำไม่ได้หรอกครับ แต่แน่นอนโรคภัยไข้เจ็บมีมากครับ และการรับผิดชอบที่หนักหนาถึงเรื่องชีวิตจึงต้องใช้เวลาเรียนกันเข้มหน่อย

มาต่อกันภาคหน้านะครับ (ตัดจบใจร้ายกว่าละครบางช่อง....)
                
                 เนื่อง จากเรื่องต่อไปที่ผมจะเขียน เป็นเรื่องที่คนไข้อยากถามหมอ ผมเลยจะให้ท่านที่มีคำถามสงสัย ลงคำถามไว้ในกระทู้ หรือใน facebook ก็ได้ครับ โดย ต้องมีข้อแม้ครับ (เรื่องมากนิดนึงนะตะเอง)
                
                 1. ไม่ใช่คำถามเชิงวิชาการ หรือการรักษาโรคนะครับ เช่น "อย่างนี้จะท้องไหมคะ (เรท)" หรือ "ดิฉันมีผื่นขึ้นมา 2 วันแล้วเรียนปรึกษาค่ะ" หรือ " ภรรยาผมไม่เคยถึงเลยครับ(เรท)" หรือ "ยารักษาความดันตัวไหนดีที่สุดในจักรวาลคะ" ผมไม่รับตรวจโรค วินิจฉัย ให้คำปรึกษาผ่าน อินเทอร์เนตนะครับ (ถึงถามมาเค้าก็ไม่ตอบ .... จุ๊กกรู้) และขอเตือนคุณผู้อ่านทุกท่านนิดนึงเรื่องการเชื่อข้อมูลทาง อินเทอร์เน็ต กลั่นกรองมากๆหน่อยนะครับ เพราะ "หมอปลอม" ในเน็ตก็เยอะ ถ้าท่านเจ็บป่วยใดๆผมว่าท่านพาตัวเองไปหาหมอจริงๆที่มีใบประกอบวิชาชีพใกล้บ้านเถอะครับ

                2. ไม่ใช่คำถามทำลายล้างวงการสาธารณสุข หรือ ทำลายความสัมพันธ์อันดีของวงการแพทย์ และทำลายตัวผมเอง เช่น " หมอเอกชนกับรัฐบาลใครเก่งกว่า" หรือ "ทำไม คลินิก สิวระเบิดการแพทย์  คิดค่ารักษาแพงจัง" "หมอคิดว่าวงการสาธารณสุขเป็นไง" "หมออยู่สีอะไร (เอ่อ เคยผ่านศรีสะเกษแว่บหนึ่งครับ)"

               3. ไม่ใช่คำถามเกี่ยวกับตัวผมเองเช่น "หมอชื่อจริงชื่ออะไร" "หมอทำงานที่ไหน" "มีลูกเมียกี่คน (อันนี้ตอบให้ได้เลยว่าไม่มีครับรับสมัครอยู่ แหนะ!! เอาทุกดอกจริงๆ"  

               อ้าว !! งั้นเหลืออะไรให้ถามฟะ !! ผมก็จะเรียนตามตรงครับว่า ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกัน(แหง่ว) เพราะผมคิดในฝ่ายผมซึ่งเป็นมิติเดียว เลยอยากรู้นะครับ ว่ามีเรื่องราวอะไรที่คนอื่นเขาสงสัยในอาชีพหมอ หรือเข้าใจผิดบ้างรึเปล่า ................... เช่น คุณพยาบาลห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเคยถามผมว่า "ทำไมหมอส่วนใหญ่เป็นแฟนกับหมอหรือพยาบาลคะ มีอาชีพอื่นรึเปล่า" ประมาณคำถามแบบนี้ละกันนะครับ
  
               ผมขออนุญาติคัดเลือกและตอบเป็นบางคำถามนะครับ คำถามไหนที่น่ารัก น่าตอบ จรรโลงใจ และได้รับคัดเลือกผมมีรางวัลให้ เป็นสิทธิในการขึ้นบันไดเลื่อนฟรีที่ ห้าง BIG D ทุกสาขา (ต้องขอบคุณห้าง BIG D มา ณ ที่นี้ด้วย) รางวัลใหญ่จนน่าตกตะลึงใช่ไหมละครับ.....

               และ เนื่องจากติดภารกิจบางประการ ผมจะหยุดไปประมาณ 2 สัปดาห์นะครับ กลับมาเมื่อไร จะแจ้งให้ทราบผ่าน facebook (บร๊ะ ไฮโซ) ทิ้งคำถามไว้เลยครับ เดี๋ยวจะกลับมาคัดเลือกเอง...............

แล้วเจอกันครับ..............

 

วันเสาร์ที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

บทที่ 6 : เมื่อหมอขอดูดราม่า ...(ภาคสาม)

           
          สวัสดีทุกท่านครับ กลับมาต่อกันถึงเรื่องราวของดราม่า ที่คาใจ แพทย์(ผมคนเดียว) กันต่อนะครับ กับเรื่องราวของละครบ้านเราที่บ่อยครั้ง มักจะมีอะไรมาให้ “คาใจ” หรือ “ขำๆ” กันสักหน่อยกับบางรายละเอียดที่ไม่ค่อยสมจริง ชนิดที่บางครั้งดูไปก็ “ฮา” ไป แต่บางครั้งดูไปก็แอบหงุดหงิดในใจ(เล็กน้อย)ว่า ทำให้เหมือนกว่านี้หน่อยก็ไม่ได้ เฮ้อ.....

อุปกรณ์ ทางการแพทย์
          หลายครั้งครับที่ เรามักจะเห็นการใช้อุปกรณ์ทางการแพทย์เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในเรื่อง ซึ่งผมก็อธิบายไปบ้างแล้วในภาคที่แล้ว ในเรื่องของเครื่องช่วยหายใจกับอุปกรณ์ที่ช่วยให้ออกซิเจนว่าถ้าเอาจริงๆแล้วเนี่ย มันคนละอย่างกัน
          
          ยังมีอีกหลายอย่างครับที่บางครั้งไม่ค่อยสมจริง หรือบางครั้งหมอดูไปอุทานไป เฮ้ย !!! จริงง่ะ ซึ่งผมมั่นใจว่าหมอหลายๆท่านที่มีโอกาสได้ดูละครจะรู้สึกแปลกๆเช่นเดียวกับผม (หาพวก)

สถานการณ์ที่ 1
          ณ ห้องพักคนไข้แห่งหนึ่งซึ่งแน่นอนที่สุด มีป้ายชื่อโรงพยาบาล ใหญ่กว่าตัวคนไข้ซะอีก ติดอยู่ที่หัวเตียง
          
          มีชายชรา อายุ 80 ปี หัวหงอก ในปากมีท่อช่วยหายใจ(อ่านได้จากภาคที่แล้ว) นอนนิ่งอยู่ท่าทางอิดโรย มีญาติล้อมรอบอยู่เต็มไปหมด
          
           ตัดฉากไปที่ประตู พระเอกเปิดประตูเข้ามา หน้าตาลนลาน ตกใจ
“คุณปู่ !! คุณ ปู่ครับ ผมมาแล้ว!!
          
           คนไข้ค่อยๆลืมตา ช้าๆ มองซ้ายขวา ก่อนกล้องจะจับโฟกัส เบลอๆ ก่อนค่อยๆ ให้เห็นชัดขึ้นเป็นหน้าพระเอก
“ในที่สุดเจ้าก็มา”
“ครับ ผมมาแล้วคุณปู่”
“ปู่ดีใจที่เจ้ามาทันก่อนที่ปู่จะ เฮือกกกกก อ๊อก อั่ก”
“ปู่ครับ !! หมอๆ!!!
“หยุด !!ฟังปู่นะ พินัยกรรม อยู่ที่ อยู่ที่..... ใต้ขวดน้ำยาล้างฟันปลอมของป...ปู่ อ๊อก !!!!
ภาพตัดสโลว์คุณปู่หลับตา มือตกข้างเตียง และแน่นอนที่สุด ต้องมีรูปของปู่สักรูป ตกลงมาจนได้
          
           สาเหตุ การเสียชีวิตของปู่ในเรื่อง คุณคิดว่าส่วนหนึ่งมาจากอะไรครับ หลายท่านอ่านมาคงงง จะรู้ได้ไงหมอ คนไข้เป็นไรไม่รู้ อยู่ดีๆก็ เฮือก อ๊อก อั่ก (อันนี้ผมก็แปลกใจนะ ทำไมเกือบจะทุกเรื่อง ต้อง 3 step ตลอด)
          
           คำตอบแบบ มั่วๆของผมเองคือ หมอน่าจะใส่ท่อช่วยหายใจผิดครับ(อันนี้ประชดนะ) ที่ผมจะสื่อก็คือ เมื่อคนไข้ใส่ท่อช่วยหายใจแล้ว คนไข้จะพูดไม่ได้ครับลูกพี่ !!!
           
แหมอันนี้มาเป็นประโยคเชียว บอกขนาดอยู่ใต้ขวดน้ำยาล้างฟันปลอมเชียว

          ท่อช่วยหายใจเนี่ย เวลาใส่ เค้าจะใส่ผ่านกล่องเสียงลงไปในหลอดลมครับ เมื่อใส่แล้วคนไข้จะพูดไม่ได้  และการใส่ท่อในลักษณะนี้ละครับ ที่เป็นสาเหตุให้ในบางครั้งคนไข้ที่ใส่ท่อช่วยหายใจแล้วถอดท่อช่วยหายใจออกแล้ว อาจจะมีเสียงแหบตามมาได้บ้าง
 ขอบคุณ รูปต้นฉบับจาก http://respiratorytherapycave.blogspot.com(ก่อนที่ผมจะนำมาตกแต่งตัดต่อเพิ่มเติม)

สถานการณ์ที่ 2
          หลังจากพระเอกเข้าไปช่วยบังกระสุนนางเอกที่กำลังจะโดนนางร้ายยิง (มักจะโดนหลัง บริเวณสะบักด้านใดด้านหนึ่ง) พระเอกก็ถูกนำส่งโรงพยาบาลทันที !!
           
         ภาพตัดไปที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง(อย่าลืม ป้ายชื่อโรงพยาบาลต้องชัด) เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ตัดฉากไปที่หัวมุมสักหัวมุมหนึ่ง (ส่วนใหญ่จะเลี้ยวมาจากด้านขวาของจอ) รถนอนที่เข็นพระเอกจะถูกเข็นมา ลักษณะภาพเข็นเข้าหาหน้าจอ(เข้าหาคนดู) พร้อมกับ ชาย อายุประมาณ 45-50 ปีรูปร่างท้วม ผมหงอกนิดหนึ่ง ห้อยหูฟัง ใส่เสื้อกาวน์ยาว ใส่แว่น วิ่งตามมาแบบหน้านิ่ง ไม่ได้อารมณ์ และ แอคติ้ง ห่วยมากกกกกกกกก วิ่งมาพร้อมกับหญิง 1 นางเป็นพยาบาล แต่งหน้าได้สวยสะเทือนใจไม่เปลี่ยนแปลง ทำหน้าที่ ช่วยให้ออกซิเจนผ่านอุปกรณ์ ถ้าท่านคิดภาพไม่ออก ก็หน้ากากออกซิเจนที่มีลูกกลมๆบีบๆนั่นละครับ และเจ้าหน้าที่ทำหน้าที่เข็นเตียง 1 คน (ซึ่งมักจะดูหล่อกว่าหมอในเรื่อง) และแน่นอน นางเอก
“นาย นายต้องไม่เป็นอะไรนะ ชั้นจะอยู่ข้างๆนาย”
“เอ่อ...อึก อัก คุณ อัก ปลอดภัย ก็ดีแล้ว”
“ไม่ต้องพูดแล้ว นายต้องอยู่กับชั้นนะ ห้ามทิ้งชั้นไปไหนนะ”
“ผม ขอ....ขอโทษ”
“ไม่เป็นไร บอกแล้วไม่ต้องพูดอะไร”
“ผมมีความสุ.....ความสุขมากที่ได้ปกป้องคุณ อั่ก”
           
          ตัดฉาก เอาภาพอดีตที่ถ่ายทำไปแล้ว ฉากกุ๊กกิ๊ก แต่ทำสโลว์ ไม่ก็ทำเป็นขาวดำ เพลงประกอบละครช้าๆขึ้น มักจะเป็นเพลงที่ไว้เปิดตอน ละครจบแล้ว เปิดประมาณ 1 เบรกหรือ 5-10 นาที จากนั้นตัดฉาก พระเอกถูกนำตัวเข้าไปในห้องฉุกเฉิน พร้อมประโยคคลาสสิก
“เข้าไม่ได้นะคะ!! ญาติเข้าไม่ได้นะคะ!!

ในสถานการณ์นี้ ผมมีเรื่องคาใจอยู่บางประการครับ
          ประเด็นแรกประมาณ 50 % ของ ละครไทย ครับ มักครอบหน้ากาก กลับด้าน!! อย่างๆน้อยๆ 2-3 เรื่องครับที่เห็นมา กลับบนลงล่างกลับล่างขึ้นบน อาจจะเป็นด้วยรูปทรงของหน้ากากที่ทำให้เข้าใจผิดว่า มันเรียวลงให้เข้ากับคาง ซึ่งจริงๆแล้วไม่ใช่ครับ ด้านที่แคบนั้นเค้าเอาไว้ครอบจมูก ส่วนด้านที่กว้างกว่าเค้าเอาไว้ครอบปาก




 ขอบคุณรูปต้นฉบับจาก www.facebook.com(ก่อนที่ผมจะนำมาตกแต่งตัดต่อเพิ่มเติม) ซึ่งต้องขออภัยไม่แน่ใจว่าใครเป็นเจ้าของภาพ share เค้ามาอีกที 
ในรูปนี้ ครอบหน้ากากผิดนะครับ(กลับด้าน) ที่ถูกต้องคือต้องครอบตามลูกศรสีแดง คือกลับบนลงล่างกลับล่างขึ้นบน


 อันนี้ครอบถูก และต้องมีอีกมือมาช่วยให้การครอบหน้ากากสนิทกับหน้าคนไข้ด้วยครับ (จริงๆวิธีครอบมีรายละเอียดมากกว่านี้มาก เอาง่ายๆว่าถ้าในละครครอบประมาณนี้ก็สมจริงแล้วครับ) ขอบคุณ http://www.ambu.com

          ประเด็นต่อไปเป็นอีกประเด็นที่คาใจคือเรื่องของห้องฉุกเฉินครับ ด้วยประสบการณ์และวัยที่ยังถือได้ว่า ละอ่อน บ้องแบ้ว ไร้เดียงสา (อ้วกออกมาเถอะครับ) ทำให้ผมไม่แน่ใจนักว่าห้องฉุกเฉินเนี่ย มันไกลจากทางเข้าโรงพยาบาลมากนักรึไง
          
          หลายๆครั้งที่เราจะเห็นครับ ว่ากว่าจะเข็นคนไข้ในเรื่องเข้าห้องฉุกเฉินได้ต้องเข็นเป็นทางไกลพอสมควรเลย (มีเวลาหวนย้อนคิดถึงอดีตได้นานมาก) ไกลและนานจนรู้สึกได้ว่าทำไมเข็นไกลจัง ถ้าเข็นจากห้องฉุกเฉินแล้วไปห้องผ่าตัดด่วนอันนี้พอเข้าใจได้ครับว่าอาจจะต้องเข็นข้ามตึก  แต่สถานการณ์ที่พอถึงหน้าโรงพยาบาลแล้ว เข็นเข้าห้องฉุกเฉินเนี่ยมันไกลขนาดนั้นเลยเหรอ?
          
          ปกติเท่าที่เคยเห็นมา ห้องฉุกเฉินเนี่ย มักจะอยู่หน้าโรงพยาบาลเลยนะครับ ชนิดที่ว่ารถพยาบาลจอดปุ๊บ ลงเตียงเข็น แป๊บๆ คนไข้ก็อยู่ในห้องฉุกเฉินเรียบร้อย ไม่เคยเห็นเหมือนกันที่พอลงรถนอนแล้วต้องเข็นๆๆๆ แล้วก็บอกทำใจดีๆไว้ คุยกันยาว เข็นกันไกล มีเวลาบอกรักกันจนจะจัดงานแต่งงานกันได้ ถึงจะเข้าไปในห้องฉุกเฉิน (อันนี้ใครมีประสบการณ์เคยเห็นห้องฉุกเฉินที่ไกลจากหน้าโรงพยาบาลมากบอกได้ครับผมไม่เคยเห็นจริงๆ)
          
          ประเด็นต่อไป คุณผู้อ่านรู้จัก ห้องฉุกเฉินไหมครับ....?? แล้วรู้จัก ไอซียู รึเปล่า?? ท่านคิดว่า เป็นห้องเดียวกันไหมครับ???
เฉลย!!! (เอ้า!เร็วจริง)

ห้องฉุกเฉินคือ ER หรือ Emergency room ครับ ไว้สำหรับคนไข้ฉุกเฉินต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน (สามารถไปย้อนอ่านใน blog เรื่องหน่วยต่างๆในโรงพยาบาลได้) เช่น งูกัด ไส้ติ่งอักเสบ ถูกยิง หอบหืด โดนมีดฟันมา เป็นต้น

ห้อง ไอซียู หรือ ICU ที่ท่านรู้จัก ชื่อเพราะๆ เค้าคือ หน่วยอภิบาล หรือบางที่ก็จะเรียก หอผู้ป่วยหนัก หอผู้ป่วยวิกฤต ไว้สำหรับดูแลคนไข้ที่เจ็บป่วยหนัก อาการหนัก ต้องมีการเฝ้าดูแลด้วยทีมแพทย์อย่างใกล้ชิด เช่น ผู้ป่วยที่ได้รับการผ่าตัดใหญ่ ผู้ป่วยมีติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง และภาวะการหายใจล้มเหลว เป็นต้น
          
          แล้วมันต่างกันยังไงละ?? ผมสรุปง่ายๆแล้วกันครับ คนไข้ที่ต้องได้รับการรักษาเร่งด่วน ก็ไปที่ห้องฉุกเฉิน (ห้องฉุกเฉินแสดงถึงความเร่งด่วน)
           
          ส่วนคนไข้ที่มีอาการหนัก(ซึ่งมักต้องให้แพทย์เป็นผู้ประเมิน) ที่ได้รับการประเมินและรักษามาบ้างแล้วจากห้องฉุกเฉิน ห้องผ่าตัด ตึกผู้ป่วยในแต่ยังมีอาการหนัก แพทย์ก็มักจะส่งตัวไปที่ไอซียูเพื่อติดตามการรักษาอย่างใกล้ชิด (ไอซียูแสดงถึงความป่วยหนัก อาการหนัก)
           
         ยกตัวอย่างแล้วกัน เช่น เป็นไส้ติ่งอักเสบ ถามว่าควรได้รับการรักษาเร่งด่วนหรือไม่ คำตอบคือ ใช่ เพราะฉะนั้นคนไข้ก็ต้องไปที่ห้องฉุกเฉิน แต่หลังจากผ่าตัดแล้ว จำเป็นต้องนอนไอซียูหรือไม่ คำตอบคือแล้วแต่กรณี หากไม่มีภาวะแทรกซ้อนอะไร ผ่าเสร็จอาการดี ไม่ติดเชื้อในกระแสเลือด ไม่มีปัญหาอะไรตามมา ไม่มีอาการหนัก ก็ไม่ต้องนอนไอซียู...(ซึ่งคนไข้ส่วนใหญ่ก็ไม่ต้องนอน)
           
         หรืออีกกรณี มานอนโรงพยาบาลแล้วด้วยเรื่อง ปอดติดเชื้อ มาถึงโรงพยาบาลตอนแรกอาการไม่หนักมาก นอนรักษาที่ตึกผู้ป่วยใน แต่หลังจากนอนรักษาไปปรากฏว่ามีการติดเชื้อในกระแสเลือด ไตวาย เกลือแร่ผิดปกติอย่างรุนแรง เริ่มหายใจเองลำบาก แพทย์ประเมินแล้วว่าผู้ป่วยอาการหนัก ต้องได้รับการดูแลติดตามการรักษาอย่างใกล้ชิดแพทย์ก็จะส่งไปที่ ไอ ซี ยู โดยที่ไม่ได้ส่งไปที่ห้องฉุกเฉินแต่อย่างใด
          
          แล้วถ้ามาด้วยอาการที่ทั้งด่วนและหนักด้วยละ อย่างกรณีโดนยิงมา มาถึงโรงพยาบาลด้วยอาการที่ต้องรักษาแบบรีบด่วนและอาการหนักด้วย(ทั้งด่วนทั้งหนัก) แต่คนไข้ที่โดนยิงเพิ่งมาโรงพยาบาลครั้งแรก ยังไม่ได้รักษาที่ใดมาก่อน  ก็น่าจะต้องเข้าห้องฉุกเฉินก่อน เพื่อรับการรักษาเบื้องต้น ไม่ให้เป็นอันตรายแก่ชีวิต หลังจากนั้น หากแพทย์ประเมินแล้วว่าอาการคนไข้ยังหนักอยู่ หรือหลังจากได้รับการผ่าตัดกระสุนออกแล้ว แพทย์ประเมินว่าต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด ก็จะส่งต่อไปที่ ห้องไอซียูอีกที
          
           พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้างนะครับว่าถ้ามาถึงโรงพยาบาลมีอาการรีบด่วนก็ไปห้องฉุกเฉิน แต่ถ้าอยู่โรงพยาบาลแล้วรักษาบ้างแล้วแต่ว่าอาการหนักแพทย์ประเมินว่าต้องดูแลอย่างไกล้ชิดแพทย์ก็จะส่งไปที่ ไอซียู มีน้อยครั้งครับที่เมื่อคนไข้มาถึงโรงพยาบาลแล้วจะเข็นเข้าห้องไอซียูไปเลยโดยไม่ได้รับการประเมินจากแพทย์ที่ห้องฉุกเฉินมาก่อน เว้นแต่ในกรณีที่เป็นการรับคนไข้อาการหนักมาจากโรงพยาบาลอื่นที่คนไข้อาจจะได้รับการรักษามาบ้างแล้ว เมื่อแพทย์มีการติดต่อกันเรียบร้อย ก็จะส่งเข้าไอซียูไปเลยขึ้นกับคนไข้เป็นกรณีไปครับ
           
          เพราะฉะนั้นโดยส่วนใหญ่ ตัวเอกทั้งหลายที่เจ็บป่วยแบบฉุกเฉิน มักจะต้องเข้าห้องฉุกเฉินก่อนครับ เพราะเคยเห็นละครเรื่องหนึ่ง คนไข้โดนยิง ยังไม่ได้รับการรักษาอะไรก่อนเลย เข็นเข้าห้องมีป้ายไอซียูด้วยเฉยเลย แบบงงๆ หมอ(ในเรื่อง) ยังบอก ตอนนี้คนไข้อาการหนักนะครับ ต้องรักษาแบบเร่งด่วน ต้องเข้าไอซียูก่อน??? ซึ่งจริงๆน่าจะเข้าห้องฉุกเฉินก่อนนะครับ

คำพูดของหมอ
 
          มีอีกกรณีนั่นคือ คำพูดของหมอครับ ในละครบางเรื่อง เพื่อให้คนดูเข้าใจก็มีการ “แปลเป็นไทย” ด้วยแต่บางครั้งก็มีฮากันบ้างครับ เพราะบางครั้งแปลผิด บางครั้งแปลถูก และบางครั้งไม่เข้ากับสถานการณ์

สมมติคนไข้ในเรื่อง มี “ภาวะหัวใจหยุดเต้น”
          ในสถานการณ์จริงก็มักจะฉุกละหุกละครับ ใน ซีรีย์ฝรั่ง จะทำได้ค่อนข้างเหมือน คำพูดก็จะประมาณ(ผมขอใช้คำอ่านภาษาไทยสะกดตามละกันนะครับ)
“คนไข้ แอเรสต์ หมอ”
“แอเรสต์ !! ซีพีอาร์เลย เตรียม เครื่องดีฟริบ แล้วติด หลีดด้วย  เตรียม ทิวบ์ 7.5 แอมบู ซัคชั่น ฯลฯ อะดรีนาลินมา”
ในละคร
“คนไข้ชีพจรหยุดเต้น หมอ”
“คนไข้ชีพจรหยุดเต้น ไม่หายใจ คุณพยาบาล เตรียมการช่วยชีวิตผู้ป่วยขั้นสูง ปั๊มหัวใจเลย เตรียมเครื่องช็อตไฟฟ้า ให้ผม (น่าจะเป็นเครื่องกระตุ้นหัวใจมากกว่า)......(พูดช้าๆดูชิลๆ) ” ...............-_-‘
          
           มันไม่ใช่อ่ะ มันไม่ใช่ ... ผมว่าเรื่องความเข้าใจในคำพูดหมอ ใช้การแสดง ช่วย และทำให้บรรยากาศและสถานการณ์ของเรื่องมันดูฉุกเฉิน คนดูก็พอเข้าใจได้ว่าปั๊มหัวใจช่วยชีวิตอยู่มั้งครับ พี่เล่นแปลไทยแล้วพูดเหมือนท่องๆ อีกต่างหาก มันเลยดูตลกๆไปนิดหนึ่ง
           
           เอาละครับ นี่ก็เป็นส่วนหนึ่งนะครับ ของเรื่องที่ผม คาใจ และ ขยุกขยิกเหมือนติดในใจเล็กๆเกี่ยวกับความไม่สมจริงในบางอย่างของละครซึ่งจริงๆแล้วยังมีอีกเยอะครับ เช่น
  • บอกชื่อโรคไม่หมด ชื่อโรคภาษาอังกฤษกับภาษาไทยในบทไม่ตรงกัน เช่นคุณเป็นโรคหัวใจ (ลิ้นหัวใจรั่ว? เส้นเลือดหัวใจตีบ? กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ? หัวใจเนี่ยมีหลานส่วนนะครับ)
  • การรักษาเหมือนการ์ตูน ผ่าตัดใหญ่แต่ 2 วันคนไข้ออกจากโรงพยาบาลได้
  • เอกซเรย์ติดกลับด้าน ติดกลับหัว ดูเอกซเรย์กะโหลกศีรษะธรรมดา แต่หันมาบอกตัวเอกในเรื่องว่า เป็น มะเร็งในสมอง
          แต่ถ้ามานั่งเล่ากันก็จะไม่จบซะที อาจได้อีก 85 ภาค (อันนี้เว่อร์) เอาเป็นว่าจริงๆถ้าหาข้อมูลบ้างเล็กน้อยๆ ปรับอีกนิดๆหน่อยๆละครก็จะได้ความสมจริงมากขึ้นนะครับ คงไม่ต้องเหมือนเป๊ะขนาดนั้นหรอกครับเข้าใจครับว่ามันเป็นแค่ละคร แต่เอาแค่ไม่ดูเกินจินตนาการไป เข้าใกล้ความจริงบ้างก็โอเคแล้ว

ปล.
1. ทั้งหมดนี้เป็นความเห็นส่วนตัวนะครับ อย่างที่บอกว่ามาบ่นเฉยๆแต่อยากบ่นให้คนอื่นได้ยินด้วย เข้าใจครับว่าละคร ก็ไม่ได้หวังว่าจะต้องเหมือนเป๊ะขนาดนั้น แค่ใกล้เคียงของจริงบ้างก็ดี เพื่อความสนุกสมจริง
2. เว็บที่อ้างอิงผมนำรูปภาพ เค้ามาเฉยๆนะครับ ส่วนเนื้อหาในเว็บนั้นๆผมไม่ได้คัดกรอง หากท่านจะตามไปอ่านโปรดใช้วิจารณญาณนะจ๊ะ
3.หลายท่านที่อาจจะรำคาญที่ไม่เห็นรูป(ผมโพสต์รูปไม่ได้) หา blog ผมเอานะครับ ถาม “ หมอใหม่หัวใจแนว” ทาง google หรือ facebook ได้เลย ไปกด like กันเยอะๆ(ถ้าลง ลิงค์เดี๋ยวกระทู้หายครับ)
4. ตอบอีกครั้ง เรื่องให้กิฟท์ ขอบคุณนะครับ แต่ผมถนัด mobile register มากกว่า


          ช่วงที่เขียนอยู่นี้ เด็กๆ กำลังลุ้นผลแอดมิดชั่น กันอยู่ครับ เห็นอยากเป็นหมอกันหลายคน เด็กคนนั้นก็อยากเป็น เด็กคนนี้ก็อยากเป็น ส่วนคนที่เป็นหมอแล้ว ก็มานั่งบ่น หมอเหนื่อยแล้ว อยากลาออกแล้ว งั้นครั้งหน้ามาดูเรื่องนี้กันดีกว่าเนาะ.....