สวัสดีทุกท่านครับ
กลับมากันอีกทีกับ เรื่องราวไร้สาระ(แน)
ของผมนะครับ ในช่วงนี้อากาศเปลี่ยนแปลง บ่อยครับ บางวันฝนตก บางวันน้ำท่วมซะดื้อๆ
วิดน้ำอีกที กลับมาร้อนอีกละ เฮ้อ......ระวังรักษาสุขภาพนะครับ ไข้หวัด ภูมิแพ้
กวัก มือเรียกสวัสดีทุกท่านกันแล้ว อย่าไปทักมันบ่อยละครับ ออกกำลังกาย กินอาหารที่มีประโยชน์ เจ็บป่วยไม่สบายก็ปรึกษาแพทย์แต่เนิ่นๆอย่ารอหนักมากๆแล้วค่อยไปนะครับ (เค้าเป็นห่วงนะ)
ก่อนอื่นก็ต้องขอบคุณทุกท่านนะครับที่เข้าไปมีส่วนร่วมใน facebook ของผมอย่างคับคั่ง และเข้าไปดู blog ผมกันจน page view เยอะขึ้นมากอย่างน่าอัศจรรย์ใจ เรียนตามตรงเห็นทีแรกก็ไม่นึกหรอกครับ นึกว่าจะมี face ตัวเองกด like อยู่คนเดียว
นั่นก็แสดงว่าผู้คนส่วนหนึ่งก็มีความสนใจในเรื่องราวระหว่าง หมอ กับ คนไข้ อยู่เนาะ แม้ว่าเรื่องราวนั้นจะเกี่ยวกับสุขภาพ เนื้อหาอัดแน่นเปรี๊ยะ เข้มข้น หรือเป็นเรื่องเบาๆ สบายๆ ชิวๆ ประชดประชัน ก็อ่านกัน เพราะฉะนั้นที่เค้าบอกว่าคนไทยอ่านหนังสือวันละไม่เกิน 6 บรรทัดนี่ ก็คงต้องมีเคืองกันบ้างละ
สำหรับท่านที่สนใจเรียนเชิญนะครับ "หมอใหม่หัวใจแนว" ถาม google กับ facebook เขาก็รู้จักผม ลองถามเขาดู ลง ลิงค์เดี๋ยวกระทู้หาย (เพราะเคยทำมาแล้ว)
สำหรับเรื่องราววันนี้ครับ แรงบันดาลใจก็มาจากการที่ช่วงนี้เห็นลูกๆหลานๆ ไม่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆ!!! เอิ่ม...................ผิดๆ ต้องเป็นน้องต่างหาก (กระชากวัยตัวเองให้ได้) เห็นน้องๆกำลังลุ้นผล แอดมิชชั่นกันอย่างคับคั่ง เครียดกันใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่ผู้ปกครองซึ่งคิดว่าก็คงเครียดกว่าเด็กอีกมั้งครับ ถ้าคิ้วเด็กผูกกันเป็นเงื่อนพิรอด คิ้วผู้ปกครองก็คงเป็นถึงขนาด เงื่อนขัดสมาธิ เงื่อนบ่วงสายธนูกันเลยทีเดียว (รู้จักละสิ คิดถึงสมัยเรียนเนตรนารีกับยุวกาชาด นานยังจ๊ะ) ซึ่งก็ไม่แปลกใจครับเพราะนี่เป็นการตัดสินที่สำคัญ มีผลต่ออนาคตข้างหน้า (แต่ไม่ใช่ทุกอย่างของชีวิตนะ)
นั่นก็ทำให้ผมคิดย้อน ย้อนย้อนนนนนนนนนนนนนน เฮ้ย!! นานไปละลูกพี่ คิดย้อนไปวันวาน(นิดหน่อย)ครับ ว่าเออ ตอนนั้นทำไมมาเป็นหมอได้หว่า อะไรโดนใจ กระแทกใจ บันดาลใจ ขยุ้มใจ(บร๊ะ!! ศัพท์อะไรฟะ) ให้มายึดถือ เดินทางในสายอาชีพนี้
ในขณะที่พอมาเป็นหมอจริงๆ บ่นทุกวัน เหนื่อย เบื่อ เซ็ง อยากหยุด อยากลาออก มองฟ้าตะโกนก้อง "ฉันมาทำอะไรที่นี่ม่ายยยยยยยยยยย!!!" แล้วก็เริ่มมีการเปรียบเทียบเกิดขึ้นตัวอย่างเช่น
เพื่อนผมนายหนึ่ง เป็น หมอเหมือนกันนี่ละครับ สมมติชื่อ สยึ๋มกึ๋ย แล้วกัน เป็นส่วนหนึ่งของคำพูดมันตอนมาพรั่งพรูตอนแฟนทิ้ง (กรุณาใช้วิจารณญาณในการอ่าน เรื่องราวบางส่วนผ่านการใส่สีตีไข่มาแล้ว อาจมีคำพูดไม่สุภาพผู้ชมอายุ ต่ำกว่า 20 ปี ควรได้รับคำแนะนำ (จากผู้อายุมากกว่า))
กึ๋ย : "ตอนอยู่มัธยมนะเว้ย กูเป็นเด็กห้อง คิง (ลี่...ขี้ลิง) เกรด เทพ A++ (ยังกะ SPF++) ตัวแทนตอบปัญหา ชนะ 8 ปีซ้อน(มัธยมเค้าเรียน 6 ปีพี่) สอบ 100 เต็มได้ 101 (อีก 1 คะแนนเนื่องจากไปเถียงอาจารย์ชนะ) แล้วมึงดูกูตอนนี้ดิ เงินเดือน 40000 กว่า ทำงาน อาทิตย์นึง 7 วัน อยู่เวร 5 เวรต่ออาทิตย์ เสี่ยงโดนฟ้อง โดนด่า โดนร้องเรียน แฟนเค้าก็ทิ้งกูไป เค้าบอกกูไม่มีเวลาให้ แล้วมึงจำไอ้สยองก๋อย เพื่อนเราได้เปล่า ไอ้ก๋อยที่เรียนเกรดน้อยกว่ากูเยอะ มันไปทำร้านอาหาร เดือนนึงได้เกือบ 2 แสน ล่าสุดก็เพิ่งถอย บีเอ็มมาอวด ควงหญิงมา 3 แต่ละคนเทพๆทั้งนั้น มึงดูดิ เรามาทำอะไรที่นี่วะ ถ้าตอนนั้นกูรู้ว่าเรียนหมอแล้วเป็นแบบนี้ กูหันไปทำอย่างอื่น มึงว่าชีวิตกูจะเป็นแบบนี้ไหม??"
ผม : "ไม่รู้สิ อาจเทพกว่านี้ รวยล้นฟ้า หญิงตรึม ใช้ชีวิตสบาย หรืออาจตกอับ ยากจน ไม่มีข้าวจะกิน ชีวิตลำบาก อนาถใจ บอกไม่ได้หรอก เพราะคำถามนี้ เป็นคำถามที่เกี่ยวเนื่องกับอดีต ซึ่งเปลี่ยนแปลงไม่ได้แล้ว สิ่งที่มึงควรทำตอนนี้คืออยู่กับปัจจุบัน ทำให้ดีที่สุด สนุกกับชีวิตที่เป็นอยู่ มองในมุมบวก แล้วมีความสุขกับมัน"
กึ๋ย : "มึงหล่อวะ"
ผม : "อันนั้นรู้ เพราะหลักฐานก็คาหน้าอยู่เนี่ย"
(2 บรรทัดหลังนี่ข้ามไปก็ได้ครับ ........... ไร้แก่น -_-')
นั่นคือส่วนหนึ่งของการสนทนา ที่คิดขึ้นมาได้ ประกอบกับ อีกหนึ่งแรงบันดาลใจคือ ปัจจุบันเวลาเป็นหมอแล้ว บางครั้งก็จะมีพ่อแม่ บรรดาญาติๆทั้งหลายมาสอบถาม รวมถึง มีกระทู้โพสต์ถาม เรียนถาม ขอความช่วยเหลือ อยากทราบเหลือเกินว่า “ทำยังไงอยากเป็นหมอ”
“หมอๆหมอว่าผมให้ลูกเรียนหมอดีไหม”
“ทำยังไงถึงให้ลูกเป็นหมอได้”
“หมอครับ หมอเรียนพิเศษไหม
เรียนที่ไหนอ่ะคะ(ภาษาวัยรุ่น)”
“หมอรวยไหม”
“หมองานหนักจริงเปล่า?”
“หมอมีแฟนไหม
(อันนี้เคยเจอมาจีบให้ลูกสาว อะแฮ่ม!!)
ผมเองก็เคยมีโอกาสได้คุยเรื่องนี้กับ เด็กๆ
วัยรุ่น ที่อยากเป็นหมอ อยากเรียนหมอมาสักนิดรวมถึงผู้ปกครองเองด้วย
สิ่งที่ได้จากการสนทนาก็คือเด็กหลายๆคนใฝ่ฝันครับ ใฝ่ฝันที่อยากจะเป็นหมอ จะจากตัวเอง หรือพ่อแม่ส่งเสริมก็ตาม แต่เด็กเหล่านั้น(และผู้ปกครอง) ยังไม่รู้จักอาชีพ "หมอ" หรือรู้แค่บางส่วน รู้จักไม่ดีพอ และที่น่าแปลกใจ ก็คือ ยังมีพ่อแม่ หรือเด็กๆหลายๆคนเข้าใจว่าหมอเป็นอาชีพ "งานสบายรายได้ดี" กันอยู่
ดังนั้นในบทความเรื่องนี้ผมขออนุญาตโยกย้าย โยกย้าย
มาส่ายสะโพก....พอๆ โยกย้ายจากเรื่องวิชาการ(ซึ่งก็ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว) มาดูเรื่องราวอนาคตของชาติ(บรู๊ยยยย) กันบ้างนะครับ
(เป็นประเภทวิชาการได้ไม่ค่อยนานนะครับ)
แต่ช้าก่อนนนนนนนนนนน!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!
ขอย้ำแบบขีดเส้นใต้เลยนะคะ
ขีดเส้นใต้ว่า “ความคิดความรู้สึก และ
ข้อมูลทั้งหลายนี้เป็นเพียงส่วนหนึ่งของประสบการณ์ที่ผมได้มีโอกาสสัมผัสโดยตรงคนเดียว และฟังเพื่อนแพทย์มาบ้างเท่านั้น
นั่นหมายความว่าการที่จะเป็นหมอนั้นในบางครั้งอาจจะไม่ได้เป็นในรูปแบบนี้
ไม่ได้รู้สึกอย่างนี้ สรุปก็คือขึ้นอยู่กับคุณหมอแต่ละคนด้วยนะจ๊ะ เป็นความเชื่อส่วนบุคคล
โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านนะจ๊ะ”
ถาม : “เป็นหมอดียังไง”
ตอบ : นั่นสิครับ (เฮ้ย !!) ผมหมายถึงคำถามนี้ตอบยากครับ แล้วแต่ตัวบุคคลว่าคำว่า "ดี" เนี่ยคือยังไง
การเป็นหมอก็เป็นอาชีพๆหนึ่ง
ที่ต้องมีคุณธรรมในการประกอบวิชาชีพ เช่นเดียวกับอาชีพอื่นๆ มีความรับผิดชอบเหมือนกับอาชีพอื่นๆ
แต่สิ่งที่คุณต้องรับผิดชอบในที่นี้อาจจะกดดันคุณเล็กน้อย
เพราะสิ่งที่คุณต้องรับผิดชอบคือ “ชีวิต” หากคุณเกิดการผิดพลาดแม้เพียงนิดเดียว
ผู้ป่วยก็มีโอกาสจะเสียหายได้ แต่การเสียหายนี้ไม่ได้หมายถึงเงินทอง(ค่ารักษา)อย่างเดียว แต่ยังอาจหมายถึง ความเจ็บป่วย ความพิการ
การเสียชีวิต อาจจะเปลี่ยนชีวิต ชีวิตหนึ่งไปได้เลยตลอดกาล แต่ก็อย่าเพิ่งกลัวไปนะครับ เพราะในการผลิตแพทย์ 1 คนนั้น
ต้องใช้เวลานาน(ตั้ง 6 ปี) ใช้บุคลากรที่มีคุณภาพ สถาบันที่มีคุณภาพ
เพื่อผลิตแพทย์ที่มีจริยธรรม คุณธรรม และคุณภาพ เพื่อมารับผิดชอบในส่วนตรงนี้ ซึ่งผมเองทีแรกก็เด็ก ม. ปลาย หน้าตาเอ๊าะๆ ธรรมดานี่ละครับ พอเรียน 6 ปี ก็สามารถมีความรู้ ความสามารถที่จะ รักษาคนได้ ช่วยชีวิตคนได้ รับผิดชอบส่วนนี้ได้ และ หน้าแก่ขึ้นได้..........อันนี้ชัดเจน -_-'
ข้อดีของหมอมีมากมายแล้วแต่คนจะมองและตัดสินว่าสิ่งนั้นถือว่าดีหรือไม่
เช่น การได้ช่วยชีวิตคน ความสุขจากการที่ได้ช่วยให้คนๆหนึ่งกลับมาแข็งแรง
ยิ้มให้เรา และบอกว่า “ขอบคุณมาก” เป็นสิ่งที่ทำให้ปลื้มใจ ภูมิใจ ได้อย่างแน่นอน ตัวอย่างบางคำพูดจากเพื่อนผม
หมอสูติ(ทำคลอด) : "ดีออก แก ได้อุ้มเด็กคนแรกเลย แม่เขายังไม่ได้อุ้มลูกเขาเลยนะ เราได้อุ้มลูกเขาก่อนอีก ตอนที่เด็กร้อง น่ารักดี ทำให้คนเกิดได้บุญนะ"
หมอกระดูก : "ก็ดีนะ เนี่ยขาคุณยายหายแล้ว เมื่อวานยังมาขอบคุณกูอยู่เลย เอาของมาให้ด้วย บอกไม่เอาก็จะให้ให้ได้ หน้าตาแกมีความสุขมากเลยนะ แกบอกแกเดินได้แล้วแกจะไปเที่ยวกับลูก ไม่ต้องนั่งรถเข็นไปแล้ว"
และแน่นอนครับเป็นความสุข ความอิ่มเอิบใจ ความปลาบปลื้มใจ ที่คุณจะหาจากที่ไหนไม่ได้แน่นอน
อีกอย่างคืออาชีพหมอเป็นอาชีพที่ถือได้ว่ามั่นคง(ณ เวลานี้) รายได้แล้วแต่บุคคลนะครับ
ผมไม่ขออ้างถึง แต่ว่าไม่อดตายแน่นอน หมอยังเป็นอาชีพที่ขาดแคลนมาก
เพราะฉะนั้นโอกาสหมอตกงาน น้อยถึงน้อยมากครับ นอกจากนี้เมื่อจบไปแล้วก็แทบจะมีที่ทำงานทันที
ต้องไปใช้ทุนอยู่แล้วตามโรงพยาบาลชุมชน(ตามอำเภอต่างๆ)
เพราะฉะนั้นสิ่งหนึ่งที่หมอแทบไม่เคยต้องทำคือสมัครงาน(หรือวิจัยฝุ่น)
เว้นแต่หมอคนนั้นมีความประสงค์จะทำงานที่อื่นนอกจากระบบราชการ
หรือทำที่อื่นต่างหากเช่นตามโรงพยาบาลเอกชนต่างๆ คลินิกอันนี้ก็แล้วแต่ครับ
ถาม : “หมอเรียนนานตั้ง 6 ปีเชียวเหรอ”
ตอบ : ไม่แน่ครับ แล้วแต่คน งงละสิ บางคน 7 ปี 8 ปี (ถ้าสอบตก อิอิ) แต่โดยมาตรฐานก็คือเรียน
6 ปีครับ โดยในแต่ละปีก็จะเรียน ไปตามระบบ แบ่งง่ายๆให้เห็นชัดเจน
ชั้น Pre-clinic หรือ
พรี คลินิก นั่นเอง ในชั้นนี้จะเป็นการเรียนในทางทฤษฎีเป็นส่วนใหญ่ครับ นั่งเรียน
เหมือนเรียน lecture หรือนั่งเรียนนั่งสอนกันไปในชั้นเรียนครับ
จะยังไม่ต้องเจอผู้ป่วยหรือว่าขึ้นตึกผู้ป่วย หรือตรวจผู้ป่วยจริงๆ แต่จะเรียนทฤษฎีเกี่ยวกับผู้ป่วยจริงๆทั้งหมด
และจะมีตัวอย่างผู้ป่วยมาให้เรียน การเรียนกับท่านอาจารย์ใหญ่ ทำการทดลอง
ใช้กล้องจุลทรรศน์ดูสิ่งต่างๆ เช่น เลือด พยาธิ ก็เรียนกันในชั้นนี้ละครับ
จะเรียนทั้งส่วนที่ร่างกายปกติเป็นอย่างไร
และร่างกายผิดปกติและโรคในส่วนต่างๆเป็นอย่างไร
เป็นการเรียนพื้นฐานที่จำเป็นทั้งหมดในการเป็นแพทย์ แต่จะเป็นลักษณะทฤษฎีก่อน ชั้นนี้จะใช้เวลาทั้งสิ้น
3 ปีครับ
ชั้น Clinic หรือชั้น คลินิก
ก็จะเป็นการเรียนเหมือนกันครับ แต่เริ่มมีการเรียนกับผู้ป่วยจริงๆแล้ว
มีการขึ้นปฏิบัติงานในหอผู้ป่วย
ก็จะเป็นนิสิตนักศึกษาแพทย์ที่บางครั้งเวลาที่ผู้ป่วยไปรักษาตามโรงพยาบาลต่างๆที่มีเปิดสอนคณะแพทย์ด้วย
ก็จะมีน้องๆเหล่านี้ละครับมานั่งเรียนด้วย บางครั้งก็จะมีการขอตรวจ ขอซักประวัติ
ขอตรวจร่างกายตามที่สมควร และไม่เป็นการรบกวนผู้ป่วยมากเกินไป
และในชั้นปีนี้ก็จะมีการไปร่วมเรียนรู้กับคุณหมอเฉพาะทางในสาขาต่างๆร่วมด้วยครับ
เริ่มมีการเข้าห้องผ่าตัดจริงๆ ฝึกผ่าตัด เย็บแผลต่างๆ ฝึกการทำคลอดจริงๆ
ตรวจผู้ป่วยพร้อมฝึกการจ่ายยาจริงๆ แต่โดยทั้งหมดทั้งมวลจะต้องมีอาจารย์แพทย์
หรือพี่แพทย์ประกบอยู่ด้วยเสมอ (เพราะฉะนั้นผู้ป่วยไม่ต้องห่วงครับ)
นอกจากนี้ในช่วงนี้ก็ต้องมีการอยู่เวรร่วมกับคุณพี่ๆแพทย์ทั้งหลายด้วยครับ
เพื่อเป็นการฝึกดูผู้ป่วยและร่วมรักษาไปด้วย มีการอดนอน
อยู่เวรข้ามคืนกันด้วยนะเออ ชั้นนี้ก็จะใช้เวลาทั้งสิ้น อีก 3 ปีเช่นเดียวกันครับ
ดังนั้นจะเห็นได้ครับว่าการเรียนแพทย์ไม่ใช่เรื่องง่ายแต่แน่นอนก็ไม่ใช่เรื่องยากเช่นเดียวกัน
หากตั้งใจก็ไม่มีใครทำไม่ได้หรอกครับ แต่แน่นอนโรคภัยไข้เจ็บมีมากครับ
และการรับผิดชอบที่หนักหนาถึงเรื่องชีวิตจึงต้องใช้เวลาเรียนกันเข้มหน่อย
มาต่อกันภาคหน้านะครับ (ตัดจบใจร้ายกว่าละครบางช่อง....)
เนื่อง
จากเรื่องต่อไปที่ผมจะเขียน เป็นเรื่องที่คนไข้อยากถามหมอ
ผมเลยจะให้ท่านที่มีคำถามสงสัย ลงคำถามไว้ในกระทู้ หรือใน facebook
ก็ได้ครับ โดย ต้องมีข้อแม้ครับ (เรื่องมากนิดนึงนะตะเอง)
1. ไม่ใช่คำถามเชิงวิชาการ หรือการรักษาโรคนะครับ เช่น "อย่างนี้จะท้องไหมคะ (เรท)" หรือ "ดิฉันมีผื่นขึ้นมา 2 วันแล้วเรียนปรึกษาค่ะ" หรือ " ภรรยาผมไม่เคยถึงเลยครับ(เรท)" หรือ "ยารักษาความดันตัวไหนดีที่สุดในจักรวาลคะ" ผมไม่รับตรวจโรค วินิจฉัย ให้คำปรึกษาผ่าน อินเทอร์เนตนะครับ (ถึงถามมาเค้าก็ไม่ตอบ .... จุ๊กกรู้) และขอเตือนคุณผู้อ่านทุกท่านนิดนึงเรื่องการเชื่อข้อมูลทาง อินเทอร์เน็ต กลั่นกรองมากๆหน่อยนะครับ เพราะ "หมอปลอม" ในเน็ตก็เยอะ ถ้าท่านเจ็บป่วยใดๆผมว่าท่านพาตัวเองไปหาหมอจริงๆที่มีใบประกอบวิชาชีพใกล้บ้านเถอะครับ
2. ไม่ใช่คำถามทำลายล้างวงการสาธารณสุข หรือ ทำลายความสัมพันธ์อันดีของวงการแพทย์ และทำลายตัวผมเอง เช่น " หมอเอกชนกับรัฐบาลใครเก่งกว่า" หรือ "ทำไม คลินิก สิวระเบิดการแพทย์ คิดค่ารักษาแพงจัง" "หมอคิดว่าวงการสาธารณสุขเป็นไง" "หมออยู่สีอะไร (เอ่อ เคยผ่านศรีสะเกษแว่บหนึ่งครับ)"
3. ไม่ใช่คำถามเกี่ยวกับตัวผมเองเช่น "หมอชื่อจริงชื่ออะไร" "หมอทำงานที่ไหน" "มีลูกเมียกี่คน (อันนี้ตอบให้ได้เลยว่าไม่มีครับรับสมัครอยู่ แหนะ!! เอาทุกดอกจริงๆ"
อ้าว !! งั้นเหลืออะไรให้ถามฟะ !! ผมก็จะเรียนตามตรงครับว่า ผมก็คิดไม่ออกเหมือนกัน(แหง่ว) เพราะผมคิดในฝ่ายผมซึ่งเป็นมิติเดียว เลยอยากรู้นะครับ ว่ามีเรื่องราวอะไรที่คนอื่นเขาสงสัยในอาชีพหมอ หรือเข้าใจผิดบ้างรึเปล่า ................... เช่น คุณพยาบาลห้องฉุกเฉินโรงพยาบาลแห่งหนึ่งเคยถามผมว่า "ทำไมหมอส่วนใหญ่เป็นแฟนกับหมอหรือพยาบาลคะ มีอาชีพอื่นรึเปล่า" ประมาณคำถามแบบนี้ละกันนะครับ
ผมขออนุญาติคัดเลือกและตอบเป็นบางคำถามนะครับ คำถามไหนที่น่ารัก น่าตอบ จรรโลงใจ และได้รับคัดเลือกผมมีรางวัลให้ เป็นสิทธิในการขึ้นบันไดเลื่อนฟรีที่ ห้าง BIG D ทุกสาขา (ต้องขอบคุณห้าง BIG D มา ณ ที่นี้ด้วย) รางวัลใหญ่จนน่าตกตะลึงใช่ไหมละครับ.....
และ เนื่องจากติดภารกิจบางประการ ผมจะหยุดไปประมาณ 2 สัปดาห์นะครับ กลับมาเมื่อไร จะแจ้งให้ทราบผ่าน facebook (บร๊ะ ไฮโซ) ทิ้งคำถามไว้เลยครับ เดี๋ยวจะกลับมาคัดเลือกเอง...............
แล้วเจอกันครับ..............